อาการปวดท้องประจำเดือน หรือที่หลายคนเรียกว่า “ปวดท้องเมน” เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นก่อนประจำเดือนจะมา 1-2 วัน หรือในช่วงที่มีประจำเดือน โดยอาการปวดจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน บางคนอาจรู้สึกปวดแบบบิด ๆ หรือปวดเป็นพัก ๆ บริเวณท้องน้อย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการปวดร้าวไปถึงหลังหรือต้นขา นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือถ่ายเหลว ซึ่งอาการเหล่านี้อาจรบกวนชีวิตประจำวันได้มากสำหรับบางคน ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการบรรเทาอาการปวดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือน
อาการปวดท้องประจำเดือนมีสาเหตุหลักมาจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อขับเนื้อเยื่อที่สะสมภายในออกมาเป็นประจำเดือน ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย แต่ในบางกรณี การบีบตัวของกล้ามเนื้ออาจเกิดขึ้นรุนแรงจนไปกดทับหลอดเลือดในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถเข้าสู่กล้ามเนื้อได้เพียงพอ จึงเกิดอาการปวด นอกจากนี้ ในช่วงที่มีประจำเดือน ร่างกายยังผลิตสารที่ชื่อว่าโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น ส่งผลให้อาการปวดรุนแรงยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกแล้ว อาการปวดท้องประจำเดือนยังอาจเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์อื่น ๆ เช่น:
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
ภาวะนี้เกิดจากเนื้อเยื่อที่ควรอยู่ภายในโพรงมดลูก กลับไปเจริญเติบโตนอกมดลูก ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง โดยอาการนี้มักจะต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน และอาจส่งผลกระทบต่อการมีบุตรยาก
ถุงน้ำในรังไข่ (Polycystic Ovary Syndrome)
ความผิดปกติของระดับฮอร์โมนทำให้เกิดถุงน้ำในรังไข่หลาย ๆ ถุง ส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น มาไม่สม่ำเสมอ หรือมานานกว่าปกติ
เนื้องอกมดลูก
เนื้องอกที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อมดลูกพบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป เนื้องอกอาจมีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าลูกแตงโม ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรงได้
อุ้งเชิงกรานอักเสบ
ภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ส่งผลให้มีอาการปวดที่อุ้งเชิงกราน และยังทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
ปากมดลูกตีบ
ภาวะที่ปากมดลูกตีบแคบ ทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาได้ยาก เกิดแรงดันภายในมดลูกและทำให้เกิดอาการปวด
เมื่อใดควรพบแพทย์?
ถึงแม้อาการปวดประจำเดือนจะเป็นเรื่องปกติในผู้หญิงหลาย ๆ คน แต่หากพบว่ามีอาการปวดที่ผิดปกติหรือมีอาการดังต่อไปนี้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา:
- รับประทานยาแล้วอาการปวดยังไม่ดีขึ้น
- อาการปวดประจำเดือนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน
- เริ่มมีอาการปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรงเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป
- ปวดประจำเดือนพร้อมกับมีไข้ หรือประจำเดือนมามากผิดปกติ จนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง
- ปวดท้องน้อยแม้ไม่มีประจำเดือน หรือตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
- เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ
- มีปัญหาในการมีบุตร
วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือนแบบไม่ต้องใช้ยา
สำหรับผู้หญิงที่ต้องการบรรเทาอาการปวดประจำเดือนโดยไม่ใช้ยา มีวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้:
ออกกำลังกายเบา ๆ
การออกกำลังกายเช่นการเดินเร็วหรือโยคะ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดอาการปวดและทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย
ประคบร้อน
การใช้ถุงน้ำร้อนหรือแผ่นประคบร้อนวางบริเวณท้องน้อยจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดอาการปวดได้ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ เช่น น้ำขิง หรือน้ำผึ้งผสมมะนาว ที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
รับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียม
อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักโขม ตำลึง หรือกล้วย ช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้อง
นวดบริเวณท้องน้อย
การนวดวนเป็นวงกลมบริเวณท้องน้อยจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวด
การสังเกตและจดบันทึกอาการปวดในแต่ละเดือนเป็นสิ่งสำคัญ หากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาอย่างเหมาะสม