Aedes

Aedes ยุงลาย พาหะนำโรคที่เราควรรู้

Aedes ยุงลาย พาหะนำโรคที่เราควรรู้

หากพูดถึง ยุง หลาย ๆ คนไม่ชอบเพราะรำคาญเป็นปัญหากวนใจที่มาจากการถูกกัดและทำให้เกิดอาการคันตามมา แต่นอกจากปัญหานี้แล้วยุงยังเป็นพาหะนำโรคมาให้เรามากมาย ซึ่งบทความนี้เราจะพูดถึง ยุงลาย ที่เป็นพาหะนำโรคได้เยอะมากอย่างเช่นโรคที่เรารู้จักกันดีก็คือ โรคไข้เลือดออก ยุงลายมีลักษณะลำตัวและขามีลายขาดำสลับชัดเจน ขนาดกลาง บินคล่องแคล่ว เสียงเงียบ ไม่ค่อยมีเสียงหึ่งเหมือนยุงชนิดอื่น และมักพบได้ในพื้นที่ชุมชนและเขตเมือง เช่น บริเวณบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งเพาะพันธุ์ที่มีน้ำขังสะอาด เช่น จานรองกระถางต้นไม้ ภาชนะที่มีน้ำขัง ยางรถเก่า เป็นต้น 

Aedes ยุงลายเป็นพาหะนำโรคร้ายอะไรบ้าง

1. โรคไข้เลือกออก
เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี  (Dengue Virus) มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรคสู่คนผ่านการกัดของยุงลายที่เคยกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี 1 ใน 4 สายพันธุ์ ที่ทำให้เป็นโรคไข้เลือดออก ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกอาจไม่มีอาการใด ๆ ไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน มีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ไข้เลือดออกรุนแรงอาจทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิต ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
อาการของไข้เลือดออก
หลังจากได้รับเชื้อจากยุงประมาณ 5-8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรค ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่มีอาการไข้ไปจนถึงมีอาการรุนแรงมากจนช็อก และเสียชีวิตได้
– ไข้สูงอย่างเฉียบพลัน 38.5 – 41 องศาเซลเซียส ซึ่งบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน หรือในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 18 เดือน
– อาการเลือดออก ส่วนใหญ่จะพบที่ผิวหนัง โดยมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตัวตามลำตัว แขน ขา ในรายที่รุนแรงอาจอุจจาระเป็นเลือด สีดำ และช็อกได้
ตับโต กดเจ็บ โดยคลำพบตับโตประมาณวันที่ 3-4 นับจากเริ่มป่วย
– ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เกิดภาวะการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว หรือภาวะช็อก มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง

2. โรคชิคุนกุนยา
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ ชิคุนกุนยาไวรัส (Chikungunya virus หรือ ย่อว่า CHIK V)  โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออกหรือโรคเดงกี่ และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา อาจพบผู้ป่วยที่ป่วยทั้งโรคไข้เลือดออกและโรคไข้ปวดข้อยุงลายพร้อมกัน ซึ่งอาการของทั้ง 2 โรคนี้คล้ายคลึงกัน แต่โรคไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรงมากกว่า ทำให้หลายครั้งผู้ป่วยไม่ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไข้ปวดข้อยุงลาย แต่ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกเพียงโรคเดียว จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความชุกที่แท้จริงของโรคไข้ปวดข้อยุงลายไม่แน่ชัด
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัวของเชื้อชิคุนกุนยาในยุงประมาณ 7 – 10 วัน และระยะฟักตัวในคนหลังถูกยุงที่มีเชื้อกัดประมาณ 2 – 4 วัน (ระยะเวลาฟักตัวที่สั้นที่สุดคือ 1 วัน และนานที่สุด คือ 12 วัน)
ระยะติดต่อ
ระยะติดต่อของโรคไข้ปวดข้อยุงลาย คือ ระยะที่ผู้ป่วยมีไข้สูงประมาณ 4 วันแรกของโรค ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดเป็นจำนวนมาก (Viremia)
อาการของโรค
หลังจากถูกยุงที่ติดเชื้อกัด จะมีระยะฟักตัวก่อนเริ่มมีอาการภายใน 3 – 7 วัน
– ไข้สูงเฉียบพลัน
– อาการปวดข้อและบวม
– ปวดกล้ามเนื้อ
– ปวดศีรษะและคลื่นไส้
– ตาแดง
– ผื่น
อาการมักจะหายภายในหนึ่งสัปดาห์ ยกเว้นอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อซึ่งอาจรุนแรงและมีอาการต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยปกติแล้วไข้ชิคุนกุนยาจะไม่ทําให้เกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต แต่หากเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ หรืออายุ 65 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้น

3. โรคไข้ซิกา
โรคไข้ซิกาเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (flavivirus) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยุงที่เป็นพาหะนำโรคไข้ซิกาเป็นชนิดเดียวกันกับยุงที่เป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya) และไข้เหลือง การติดเชื้อเกิดจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสซิกากัดและช่องทางอื่นๆ ที่เป็นไปได้ เช่น การแพร่ผ่านทางเลือด แพร่จากมารดาที่ป่วยสู่ทารกในครรภ์ได้
วิธีการติดต่อ
มียุงลายเป็นพาหะนำโรค เช่น ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นต้น โดยไวรัสจะเพิ่มจำนวนอยู่ในลำไส้และต่อมน้ำลายของยุง สามารถแพร่เชื้อและติดต่อได้โดยการถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสซิกากัดนอกจากนี้ยังมีรายงานว่าไวรัสซิกาสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ และตรวจพบไวรัสซิกาจากสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ น้ำคร่ำ รก น้ำนม และน้ำอสุจิ
ระยะฟักตัว
มีระยะฟักตัวในคน 4-7 วัน (สั้นสุด 3 วัน ยาวสุด 12 วัน) และในยุง 10 วัน
อาการของโรค
ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง โดยจะมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ที่เป็นไข้เลือดออก คือ มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่นแดงแบบ Maculopapular rash ที่บริเวณลำตัว แขนขา เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง (ไม่มีขี้ตา) ปวดข้อ อ่อนเพลีย อาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต และอุจจาระร่วง

การป้องกัน

– ป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด เช่น การทายากันยุง สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และสวมถุงเท้า หรือการใส่เสื้อผ้าที่มีการเคลือบสารกันยุง
– ทายากันยุงที่มีสารป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เช่น พิคาร์ดิน (Picaridin) หรือ (DEET)
– ปิดหน้าต่างไม่ให้ยุงเข้า ติดมุ้งลวดที่ประตู หรือนอนในมุ้งลวดเพื่อกันยุง ใช้มุ้งกันยุง
– กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะบริเวณน้ำนิ่งและน้ำขัง ทั้งในและรอบบริเวณบ้าน ใช้ฝาปิดครอบภาชนะหรือถังขยะ

แนะนำสมุนไพรป้องกันยุง

มีสมุนไพร หลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการป้องกัน และขับไล่ยุง ได้แก่

  • มะกรูด ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus hystri ใช้ผล วิธีใช้ นำผิวของผลมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำมาโขลกผสมกับนํ้าโดยใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้วกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นนํ้ามาใช้
  • สะระแหน่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Menthaarversis ส่วนที่ใช้ ใบ วิธีใช้ ขยี้ใบสะระแหน่สดทาถูที่ผิวหนังโดยตรง
  • กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ Allium sativum ส่วนที่ใช้ หัว วิธีใช้ นำหัวกระเทียมสดมาโขลกผสมกับนํ้าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้ว กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นนํ้ามาทาผิวหนัง หรือจะใช้หัวกระเทียมสดทาถูที่ผิวหนังโดยตรงก็ได้
  • กะเพรา ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimumsanotum ส่วนที่ใช้ ใบ วิธีใช้ ขยี้ใบสดหลายๆ ใบวางไว้ใกล้ตัวกลิ่นนํ้ามันกะเพราที่ระเหยออก มาจากใบจะช่วยไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล้ หรือจะขยี้ใบสดแล้วทาถูที่ผิวหนังโดยตรงก็ได้ แต่กลิ่นนํ้ามันกะเพรานี้ระเหยหมดไปค่อน ข้างเร็วจึงควรหมั่นเปลี่ยนบ่อยครั้ง
  • ว่านนํ้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Acoruscalamus ส่วนที่ใช้ เหง้า วิธีใช้ หั่นเหง้าสดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาโขลกผสมกับนํ้าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นนํ้ามาใช้ทาผิวหนัง
  • แมงลัก ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimumcitratum ส่วนที่ใช้ ใบ วิธีใช้ ขยี้ใบสดทาถูที่ผิวหนัง
  • ตะไคร้หอม ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogonnardus ส่วนที่ใช้ ต้น และใบ วิธีใช้ นำต้น และใบสดมาโขลกผสมกับนํ้า ใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้ว กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นนํ้ามาใช้ทาผิวหนังหรือนำต้นสด 4-5 ต้นมา ทุบแล้ววางไว้ใกล้ตัว กลิ่นนํ้ามันตะไคร้หอมที่ระเหยออกมาจะช่วยไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล้
  • ต้นยูคาลิปตัส ชื่อวิทยาศาสตร์ Eucalyptus citriodara ส่วนที่ใช้ ใบ วิธีใช้ ขยี้ใบสดถูที่ผิวหนัง
  • ต้นไม้กันยุง (มอสซี่ บัสเตอร์) ส่วนที่ใช้ ใช้ทั้งต้น โดยจะปลูกเป็นไม้ประดับ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยไล่ยุง ไม่ให้เข้ามาใกล้ วิธีใช้ วางกระถางที่ปลูกต้นไม้กันยุงไว้ในห้อง สามารถไล่ยุงได้ตลอด24 ชั่วโมง แต่ต้นไม้ก็ต้องการแสงแดดเพื่อการสังเคราะห์แสง จึงควรนำต้นไม้ไปรับแสงแดดอย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมง และรดนํ้าให้ชุ่มในเวลาเช้า หากแสงแดดไม่จัด ควรให้นํ้าพอสมควรเพื่อป้องกันมิให้รากเน่า

อิมมูตี้ (สมุนไพรพลูคาว) ตราคุณสัมฤทธิ์

Price range: 400.00 บาท through 740.00 บาท

Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top