การมีประจำเดือนมากกว่าหนึ่งครั้งต่อเดือนเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงหลายคน ซึ่งอาจทำให้เกิดความวิตกกังวล เนื่องจากเป็นการเบี่ยงเบนจากรอบเดือนปกติ การที่ประจำเดือนมาเร็วกว่าที่คาดคิด หรือมาในช่วงเวลาที่ไม่สม่ำเสมอ อาจมีสาเหตุจากปัจจัยหลายอย่าง ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ไปจนถึงภาวะทางสุขภาพที่ร้ายแรง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุหลักๆ ของการมีประจำเดือนมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน และแนวทางป้องกันและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
1. ฮอร์โมนไม่คงที่
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมรอบเดือนของผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่เพิ่งมีประจำเดือนในช่วงแรก ร่างกายยังอยู่ในช่วงปรับตัวเพื่อสร้างฮอร์โมนอย่างสมดุล การที่รังไข่ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ บางคนอาจพบว่าประจำเดือนมา 2 ครั้งต่อเดือน หรือมีภาวะประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ซึ่งปกติแล้วภาวะนี้จะหายไปเมื่อร่างกายเริ่มคงที่ การผลิตฮอร์โมนและการตกไข่จะเริ่มสมดุลภายใน 1-2 ปี อย่างไรก็ตาม หากยังคงพบปัญหาประจำเดือนมา 2 ครั้งต่อเดือนหรือมีรอบเดือนที่ไม่ปกติหลังจาก 4-5 ปี ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจรวมถึงปัญหาของระบบต่อมไร้ท่อที่อาจต้องได้รับการรักษา
2. ระยะรอบเดือนสั้น
รอบเดือนที่สั้นเกินไปก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีประจำเดือนมากกว่าหนึ่งครั้งในเดือนเดียว ผู้หญิงส่วนใหญ่มีระยะรอบเดือนที่ยาวประมาณ 21-35 วัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 วัน แต่ในบางคนอาจมีรอบเดือนที่สั้นลงเหลือเพียง 14-15 วัน ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็ว การที่รอบเดือนสั้นนี้ทำให้ประจำเดือนมา 2 ครั้งในเดือนเดียวก็ถือว่าไม่ผิดปกติหากไม่มีอาการอื่นๆ ที่น่ากังวล เช่น ปวดท้องหนัก มีเลือดออกมาก (ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยมากกว่า 5 แผ่นต่อวัน) หรือมีเลือดออกนานเกิน 7 วัน แต่ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ต้องรักษา
3. ภาวะไข่ไม่ตก
การที่ร่างกายไม่สามารถตกไข่ได้ตามปกติ หรือที่เรียกว่า “ภาวะไข่ไม่ตก” (Anovulation) เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีประจำเดือนมามากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน เมื่อไข่ไม่ตก ร่างกายจะไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนอย่างเหมาะสม ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างและรักษาผนังเยื่อบุมดลูก ในกรณีนี้ ผนังเยื่อบุมดลูกอาจลอกออกมาไม่หมดในครั้งเดียว ส่งผลให้มีเลือดออกอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก ภาวะไข่ไม่ตกอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเครียดที่สะสม การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือน้อยเกินไป รวมถึงการออกกำลังกายหนักมากเกินไป ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย การที่ไข่ไม่ตกอาจทำให้เกิดปัญหาการมีบุตรยากในอนาคต หากพบว่าเกิดภาวะนี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและจัดการปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว
4. วัยทอง
วัยทองหรือช่วงเวลาที่ผู้หญิงใกล้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (Menopause) ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ฮอร์โมนในร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงและไม่คงที่ ในช่วงวัยนี้ ฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะถูกผลิตน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการมีประจำเดือน บางครั้งประจำเดือนอาจมามากเกินไป บางครั้งอาจมา 2 ครั้งในเดือนเดียว หรืออาจไม่มานานหลายเดือนก่อนที่จะหยุดมาอย่างถาวร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทองนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หากมีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน เช่น อาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หรือมีเลือดออกผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการบรรเทาอาการเหล่านี้ อาจจะมีการใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) หรือการรักษาอื่นๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
5. ยาเม็ดคุมกำเนิด
ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่บางครั้งการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด โดยเฉพาะในช่วงเริ่มแรก อาจทำให้มีอาการเลือดออกกะปริบกะปรอยหรือมีประจำเดือนมา 2 ครั้งในเดือนเดียวได้ นอกจากนี้ การใช้ยาคุมฉุกเฉินที่มีฮอร์โมนในปริมาณสูงอาจส่งผลให้รอบเดือนผิดปกติได้เช่นกัน เนื่องจากฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดทำหน้าที่ควบคุมการตกไข่และทำให้เยื่อบุมดลูกบางลงเพื่อป้องกันการฝังตัวของไข่ที่อาจได้รับการปฏิสนธิ อย่างไรก็ตาม การมีเลือดออกผิดปกติขณะใช้ยาคุมกำเนิดอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ต้องได้รับการตรวจสอบ หากเลือดออกมากเกินไปหรือมีอาการอื่นๆ ที่น่ากังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
6. ความผิดปกติภายใน
การมีประจำเดือนมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพภายในที่รุนแรงกว่า เช่น การติดเชื้อภายในระบบสืบพันธุ์ เยื่อบุมดลูกอักเสบ (Endometriosis) ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาทันที นอกจากนี้ การที่มีเลือดออกผิดปกติอาจเกิดจากเนื้องอกในมดลูกหรือมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการตรวจสอบและรักษาโดยแพทย์อย่างเร่งด่วน หากพบว่ามีเลือดออกที่มีกลิ่นเหม็น มีอาการเจ็บปวดที่ปากมดลูกร่วมด้วย หรือประจำเดือนมาเกิน 7 วัน หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง
สรุป
การมีประจำเดือนมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือนอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ฮอร์โมนที่ไม่คงที่ไปจนถึงปัญหาสุขภาพที่รุนแรง การเฝ้าสังเกตและติดตามอาการของตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ หากมีข้อสงสัยหรือพบอาการที่ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและทันเวลา การดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาว