Hypoglycemia ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

Hypoglycemia ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

Hypoglycemia ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร มักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลีย ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลหรือฉีดอินซูลิน

สาเหตุที่น้ำตาลในเลือดต่ำ

1. น้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวาน เหตุการณ์เหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
– การฉีดอินซูลินมากเกินไป การใช้อินซูลินผิดประเภท การฉีดอินซูลินเข้ากล้ามเนื้อแทนไขมัน
– การรับประทานยาสำหรับเบาหวานมากเกินไป
– ออกกำลังกายมากเกินไป
– ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่าง
– รับประทานอาหารไม่ตรงเวลาหรืองดรับประทานอาหารบางมื้อ
– รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
2. น้ำตาลในเลือดต่ำในคนทั่วไป
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแบ่งออกเป็นได้ 2 ประเภท นั่นคือ
– ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังรับประทานอาหารและภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากการอดอาหาร
– ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังรับประทานอาหาร มักเกิดขึ้น 2-4 ชั่วโมงหลังรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเชิงเดี่ยว (Simple carbohydrate) ซึ่งสามารถแตกตัวและดูดซึมเป็นน้ำตาลในเลือดได้อย่างรวดเร็ว เช่น ข้าวขาว มันฝรั่ง เค้ก และขนมเบเกอรี่ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะการผ่าตัดแบบบายพาสที่ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้เร็ว จนทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากเกินไปและเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในเวลาต่อมา
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากการอดอาหาร โดยปกติร่างกายของคนเรามีน้ำตาลสะสมไว้อยู่แล้ว การอดอาหารจึงไม่ได้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลงโดยตรง แต่การอดอาหารร่วมกับสถานการณ์บางอย่างอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากการอดอาหารได้
– การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์จะไปรบกวนกระบวนการสร้างกลูโคสในร่างกาย การดื่มแอลกอฮอล์มากและเป็นเวลานานร่วมกับการรับประทานอาหารไม่เพียงพออาจะให้ร่างกายใช้น้ำตาลที่สะสมไว้จนหมดและขัดขวางระบบที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
อาการเจ็บป่วยรุนแรง การเจ็บป่วยรุนแรง เช่น โรคตับระยะสุดท้าย ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวายจะทำให้ร่างกายใช้กลูโคสที่สะสมไว้หมดเร็วเกินกว่าที่ร่างกายจะผลิตใหม่ได้ทัน
– โรคต่อมหมวกไตทำงานบกพร่อง ต่อมหมวกไตทำงานบกพร่อง จะส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
– ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากเนื้องอก Non-islet cell (NICTH) น้ำตาลในเลือดต่ำจากเนื้องอก ซึ่งเนื้องอกจะผลิตฮอร์โมน IGF-2 ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายกับอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
– เนื้องอกของตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน เนื้องอกของตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน เป็นเนื้องอกในตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงเช้าตรู่
– การใช้ยาบางอย่าง การใช้ยาบางอย่าง เช่น ยาเบตาบล็อกเกอร์ ยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

สัญญาณอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ที่พบบ่อย ๆ คือ หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ฉุนเฉียวง่าย กังวล สายตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย อ่อนเพลีย ตัวสั่น
 
อาการ
โดยทั่วไปมักเริ่มมีอาการผิดปกติเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด < 60 มก./ดล. และเมื่อ < 50 มก./ดล. จะเริ่มมีความผิดปกติทางระบบประสาทเกิดขึ้น
 
อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1. อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic symptom) ได้แก่ มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออก หงุดหงิด กระวนกระวาย อ่อนเพลีย ตาลาย เป็นลม
2. อาการทางระบบประสาท (neuroglycopenic symptom) ได้แก่ ปวดศีรษะ สับสน พูดผิดปกติ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวผิดปกติ ชัก หมดสติและเสียชีวิตได้
โดยทั่วไปเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเร็วมักจะเกิดอาการเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติก่อน ในขณะที่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างช้า ๆ มักเกิดอาการทางระบบประสาทบ่อย นอกจากนี้พบว่าผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำไม่จำเป็นต้องมีอาการครบทั้ง 2 แบบ บางรายอาจมีเพียงอาการทางระบบประสาทเพียงอย่างเดียวก็ได้

การรักษา

1. ยืนยันว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจริง โดยการเจาะปลายนิ้วมือและควรเจาะเก็บเลือดดำจากเส้นเลือดเอาไว้สำหรับวัดระดับฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อหาสาเหตุต่อไป
2. การแยกระหว่าง fasting และ postprandial hypoglycemia อาศัยประวัติ โดยเฉพาะระยะเวลาที่เกิดอาการ
3. หาสาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยมากมักพบ fasting hypoglycemia ซึ่งต้องแบ่งว่าเป็นจาก underproduction หรือ overutilization โดยอาศัยระดับน้ำตาลในเลือดและประวัติร่วมกับตรวจร่างกาย
4. หาสาเหตุกระตุ้นให้เกิด เช่น รับประทานยาหรือฉีดยาผิด ผู้ป่วยรับประทานได้น้อยหรือมีภาวะติดเชื้อเกิดขึ้น
5. การให้กลูโคส
a. ให้ 50% กลูโคส 50 มล. ฉีดเข้าเส้นเลือดทันที ผู้ป่วยที่มีระดับนํ้าตาลในเลือดตํ่ามาไม่นานจะฟื้นสติทันที อย่างไรก็ดี อาจฟื้นสติได้ช้าในผู้สูงอายุ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีระดับนํ้าตาลในเลือดตํ่าอยู่นาน
b. เมื่อผู้ป่วยฟื้นแล้วจะให้ 10% D/N/2 หยดเข้าหลอดเลือดดำในอัตรา 100-200 มล./ชม.
c. ควรจะรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยบางรายมีสาเหตุจากการได้รับยาเม็ดลดระดับนํ้าตาลในเลือดชนิดที่มีฤทธิ์อยู่นานหลายวัน หรือโดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยมีภาวะไตวายร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อนเมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อวัยวะล้มเหลว สมองถูกทำลายถาวร โคม่า และแม้กระทั่งเสียชีวิต

การป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

– รับประทานอาหารตรงเวลาและมีปริมาณเหมาะสมตามความต้องการพลังงานของร่างกายแต่ละคน
– ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
– ฉีดอินซูลินหรือกินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดตามแพทย์สั่ง ไม่เพิ่มหรือลดยาเอง (ยกเว้นกรณีแพทย์แนะนำให้ปรับยาเองได้) ออกกำลังกายอย่างสม่ำสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป ถ้าออกกำลังกายมากกว่าปกติ ควรกินอาหารว่างก่อนออกกำลังกาย ประมาณ 15-30 นาที เช่น นมพร่องมันเนย 1 แก้ว หรือ ขนมปัง แครกเกอร์ 2-3 แผ่นใหญ่ หรือผลไม้ขนาดกลาง 1 ผล เช่น ส้ม กล้วยน้ำว้า หรือ ผลไม้ใหญ่ ½ ผล เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล สาลี่ กล้วยหอม
– ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
– ปรึกษาแพทย์ในกรณีที่ต้องกินยาสำหรับรักษาโรคอื่นๆ ร่วมด้วย เพราะยาเหล่านั้นอาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้
– บอกให้ญาติหรือบุคคลใกล้ชิดทราบว่าเป็นเบาหวานและอธิบายการแก้ไขที่ถูกต้องให้รับทราบ
– ควรมีลูกอม น้ำหวานหรือน้ำผลไม้ 100% หรือขนมปังแครกเกอร์เก็บไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา เผื่อยามฉุกเฉิน
– ช่วงที่เจ็บป่วย หากทานอาหารไม่ได้ ควรพบแพทย์เพื่อปรับยา

ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงร่างกาย

เอ็นดี (ปวดเมื่อย) ตรา คุณสัมฤทธิ์

400.00 บาท740.00 บาท

Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top