Irritable Bowel Syndrome ภาวะลำไส้แปรปรวน

Irritable Bowel Syndrome ภาวะลำไส้แปรปรวน

Irritable Bowel Syndrome ภาวะลำไส้แปรปรวน

โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome ; IBS) สามารถพบได้บ่อย และเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย สามารถพบได้บ่อยในช่วงวัยกลางคน โดยผู้หญิงมีโอกาสเป็นได้บ่อยกว่าผู้ชาย จัดเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โรคลำไส้แปรปรวนเป็นภาวการณ์ทำงานของลำไส้ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้องร่วมกับการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป ทั้งในเรื่องลักษณะของอุจจาระ หรือความถี่ โรคนี้มักเป็นเรื้อรังโดยอาการมักจะเป็น ๆ หาย ๆ

อาการและการดำเนินโรค

สำหรับอาการของผู้ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนสามารถมีได้หลากหลาย เช่น ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืดมีลมมาก ผายลมบ่อย รู้สึกท้องโตเป็นพัก ๆ โดยอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องจะเป็น ๆ หาย ๆ ระบุตำแหน่งได้ยากแต่มักจะมีจุดเด่นในช่องท้องส่วนล่างมากกว่าส่วนบน และอาการปวดท้องจะดีขึ้นเมื่อขับถ่ายอุจจาระ และการขับถ่ายอุจจาระจะแปลกไปจากเดิม ทั้งในด้านของจำนวนในการขับถ่ายหรือลักษณะที่ผิดปกติ เช่น ถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้นเหมือนท้องเสีย อุจจาระเหลวนิ่มเป็นน้ำอาจมีมูกปน หรืออาจจะมีอาการที่ตรงกันข้ามคือ รู้สึกท้องผูก เหมือนถ่ายไม่หมด ถ่ายไม่สุด รู้สึกไม่สบายช่องทวารหนัก ถ่ายน้อยครั้งลงมาก ปริมาณอุจจาระลดลงเป็นก้อนแข็งทำให้ต้องอกแรงเบ่งมากขึ้น บางรายมีอาการสลับกันระหว่างท้องเสียและทองผูก โดยอาการผิดปกติจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป กินระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้น

ผู้ที่เป็น IBS มักมีอาการบ่อยขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่างร่วมด้วย ดังนี้
1. อาหาร เช่น การรับประทานจุ รับประทานอาหารรสจัด ไวต่ออาหารบางชนิดเป็นพิษ (food intolerance)
2. ได้รับยาบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของลำไส้
3. สภาพแวดล้อม เช่น กำลังอยู่ในสถานการณ์ หรือสถานที่ หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินทำให้ยากต่อการปรับตัวจนเกิดความเครียด ตื่นเต้น ตระหนก หรือมีอาการญซึมเศร้า
4. เกิดภาวะลำไส้อักเสบติดเชื้อเฉียบพลันเป็นระยะเวลาหลายวัน หรือป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังชนิด Inflammatory bowel disease (IBD) ร่วมด้วย
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เกิดจากพันธุกรรม ถึงแม้ไม่ได้มีการถ่ายทอดที่ชัดเจนแต่พบว่าญาติของผู้ป่วยลำไส้แปรปรวนมีอกาสเกิดภาวะลำไส้แปรปรวนได้ถึง 2-3 เท่า

เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะลำไส้แปรปรวน

มีอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องมากกว่า 3 วันต่อเดือนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (โดยที่ค่อย ๆ เริ่มมีอาการมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน) ร่วมกับลักษณะทางคลินิกอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อ ดังนี้
1. อาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องดีขึ้นหลังถ่ายอุจจาระ
2. อาการปวดท้องหรือไม่สบายในท้องเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของการถ่ายอุจจาระ
3. อาการปวดท้องหรือไม่สบายในท้องเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของลักษณะความแข็งของอุจจาระ

โรคลำไส้แปรปรวนสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

1. ลำไส้แปรปวนชนิดท้องเสียเด่น (diarrhea predominate) ต้องมีอาการท้องเสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่าย และหากมีอาการท้องผูกต้องไม่เกินร้อยละ 25 ของการขับถ่าย
2. ลำไส้แปรปรวนชนิดท้องผูกเด่น (constipation predominate) ต้องมีอาการท้องผูกไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่าย และหากมีอาการท้องเสียต้องไม่เกินร้อยละ 25 ของการขับถ่าย
3. ลำไส้แปรปรวนชนิดท้องเสียสลับท้องผูก (mixed IBS) ต้องมีอาการท้องเสียสลับท้องผูกอย่างละไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่าย
4. ลำไส้แปรปรวนชนิดที่ไม่สามารถจัดประเภทได้ (undeterminated IBS) ต้องมีอาการท้องเสียสลับท้องผูกอย่างละไม่เกินกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่าย

การรักษาลำไส้แปรปรวน

1. การรักษาโดยการไม่ใช้ยา ได้แก่
– การปรับเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ลดปริมาณอาหารจำพวกแป้งและไขมันสูง อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคืออาหารกลุ่ม Fermentable Oligo- Di- Monosaccharides And Polyols; FODMAF อาหารกลุ่มนี้ ได้แก่ ลดปริมาณผักสด หัวหอม มะเขือเทศสด หลีกเลี้ยงกาแฟ ชาเข้มข้น น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ ผลไม้ น้ำผึ้ง ไซรัปจากข้าวโพด นมและผลิตภัณฑ์จากนม ข้าวสาลี หัวหอม กระเทียม อาหารจำพวกถั่วต่าง ๆ สารแทนความหวาน เป็นต้น
– การรักษาด้วยวิธีการทางจิตบำบัด เช่น ใช้วิธีปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม ใช้การสะกดจิตบำบัด หรือใช้การบำบัดแบบกายประสานใจร่วมกัน เช่น สมาธิบำบัด ฝึกโยคะ เป็นต้น

2. การรักษาโดยการใช้ยา ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายกลุ่ม ได้แก่ ยาแก้ปวดท้องและลดการหดเกร็งตัวของลำไส้ ยาบรรเทาอาการท้องเสีย ยาที่ออกฤทธิ์ต่อตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด ยาต้านอาการซึมเศร้าและยาคลายวิตกกังวล บาปฏิชีวนะและยาโพรไบโอติก เป็นต้น

ทำความรู้จักกับสมุนไพรน่ารู้

สมุนไพรน่ารู้ที่ช่วยดูแลระบบขับถ่าย แก้อาการท้องผูก เป็นยาระบายได้ดี ซึ่งเป็นสมุนไรพที่ทุกคนอาจจะรู้จักเป็นอย่างดีหรือบางคนอาจจะเคยได้ยิน สมุนไพรที่เรากำลังพูดถึงคือ ชุมเห็ดเทศ

ชื่ออื่น : ชุมเห็ดใหญ่ ลับหมื่นหลวง ชี้คาก หมากกะลิงเทศ ส้มเห็ด

สรรพคุณ : ใช้ภายในบรรเทาอาการท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น สมานธาตุ รักษากระเพาะอาหารอักเสบ แก้กระษัยเส้น ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ, ใช้ภายนอก รักษาฝีและแผลพุพอง รักษากลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง

องค์ประกอบทางเคมี ใบมีสารแอนทราควิโนน และสารกลุ่มแทนนิน สารฟลาโวนอยด์ ดังนั้นชุมเห็ดเทศจึงเป็นยาระบายที่ดีเพราะมีทั้งแอนทราควิโนนที่เป็นยาระบาย และแทนนิน ที่เป็นยาฝาดสมาน จึงเป็นยาระบายที่สมานธาตุไปในตัว และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ช่วยระบาย ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุโรคกลาก เกลื้อน ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ

อาการไม่พึงประสงค์ อาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้อง เนื่องจากมีการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย และปวดท้องได้

ข้อควรระวัง/ข้อห้าม
1. ระวังการใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
2. การรับประทานในขนาดที่สูงอาจทำให้เกิดไตอักเสบ
3. ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเพราะส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไป และการใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้ลำไส้ชินต่อยา

ผลิตภัณฑ์แนะนำที่ช่วยการระบาย มีส่วนผสมของใบชุมเห็ด

ยาระบาย ชนิดแคปซูล ตราสมุนไพรคุณสัมฤทธิ์

400.00 บาท740.00 บาท
Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top