modifiable risk factors for heart disease ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจที่สามารถแก้ไขได้

Modifiable risk factors for heart disease ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจที่สามารถแก้ไขได้

หัวใจ คืออวัยวะที่มีหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเลือดไปตามหลอดเลือดทั่วร่างกายเพื่อนำสารอาหารและออกซิเจนถึงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หัวใจมีการบีบตัวและคลายตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการไหลเวียนของเลือด โดยสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ คือห้องหัวใจซ้ายและห้องหัวใจขวา และสามารถรับ และส่งเลือดรอบทิศทางต่าง ๆ ในร่างกาย หัวใจจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างมากในร่างกาย หากหัวใจเสียหายหรือไม่สามารถทำงานได้เพียงพอ จะส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดและร่างกาย การดูแลรักษาหัวใจและระบบหลอดเลือดเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพของเราให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

โรคหัวใจ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ เนื่องจากคนมีพฤติกรรมเสี่ยงกันมากขึ้น ทั้งการรับประทานอาหาร การไม่ดูแลสุขภาพร่างกาย แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ เพราะอาการบางอย่างอาจจะคล้ายคลึงกับหลายโรค ดังนั้นเราจึงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ รวมถึงการป้องกัน เพื่อสำรวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจหรือไม่ โดยโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น

อาการเริ่มต้นที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ 

1. อาการเจ็บแน่นหน้าอก อาจมีความรู้สึกเจ็บหน้าอกหรืออักเสบในบริเวณทรวงอก อาจมีลักษณะความรุนแรงที่แตกต่างกันไป เช่น เจ็บปวดหนักมาก หรือความรู้สึกเสียวแสบขณะแรงกดที่ทรวงอก
2. หายใจเหนื่อยหอบ อาจมีอาการหายใจเหนื่อยหอบหรือหายใจไม่อิ่มเอิบ เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นกับกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม
3. อาการเหงื่อออกมาก อาจมีการเหงื่อออกมากขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
4. ความรู้สึกหนาว หรือมีหนาวบ่อย ผู้ที่เริ่มมีปัญหาเรื่องหัวใจอาจมีอาการรู้สึกหนาว หรือความรู้สึกเหมือนหนาวบ่อยครั้ง
5. อาการเมื่อยล้า ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอาจมีความเมื่อยล้ามากขึ้นโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนหลังจากกิจกรรมที่มักทำได้ดีก่อนหน้า
6. อาการหงุดหงิด หรือความเครียด อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์เช่น อาการหงุดหงิด หรือความเครียดโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน

ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจที่สามารถแก้ไขได้ เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยง

ก่อนจะไปถึงโรคหัวใจ เราต้องรู้ว่าอะไรคือปัจจัยให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากโรคและพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเรา ได้แก่ ไขมันในเลือดสูง, การสูบบุหรี่, ความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, การไม่ออกกำลังกาย, โรคอ้วน และความเครียด ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นสามารถแก้ไขได้ และปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไม่ได้ ได้แก่ การมีประวัติครอบครัวของโรคเส้นเลือดหัวใจ, อายุที่มากขึ้น, ผู้ชาย และหญิงวัยหมดประจำเดือน

ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักกับปัจจัยที่สามารถแก้ไขได้ เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและเราสามารถปรับพฤติกรรมของเราได้เอง ดังนี้
1. ไขมันในเลือดสูง ไขมันที่สูงเกินปกติมีหลายชนิดที่ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ แต่ที่สนใจกันมากที่สุด คือ คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ สำหรับคอเลสเตอรอลนั้นมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มที่มีคอเลสเตอรอลสูง จะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้บ่อยกว่าในกลุ่มคอเลสเตอรอลปกติ และการลดคอเลสเตอรอลลงเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ลดคอเลสเตอรอล พบว่ากลุ่มที่ลดคอเลสเตอรอลเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าอย่างชัดเจน
การลดคอเลสเตอรอล ต้องเริ่มจากการควบคุมอาหารไขมันให้น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของอาหารทั้งหมดและปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารต้องน้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน ถ้าหากว่าควบคุมด้วยอาหารแล้วยังไม่เพียงพอก็ควรรับประทานยาลดคอเลสเตอรอล 
ส่วนไขมันไตรกลีเซอไรด์นั้น ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าก่อให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบโดยตรง แต่มีแนวโน้มว่าจะทำให้เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบได้ การรักษาโดยการควบคุมน้ำหนัก งดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวหรือคอเลสเตอรอล , หยุดสูบบุหรี่ , ออกกำลังกาย เพราะในบางครั้งการงดเหล้าก็จะช่วยได้ ถ้าหากควบคุมด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังไม่ได้ผลดี อาจจำเป็นต้องใช้ยาลดไขมัน
2. การสูบบุหรี่ บุหรี่เปรียบได้กับตัวเร่งให้เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ พบว่าผู้ที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจมีผลมาจากบุหรี่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ไม่สูบบุหรี่ พบว่าผู้สูบบุหรี่เกิดโรคหัวใจเป็น 3 เท่าของผู้ไม่สูบบุหรี่ และเสียชีวิตจากโรคหัวใจถึง 2 เท่าของผู้ไม่สูบบุหรี่ บุหรี่มีผลต่อเส้นเลือดหัวใจได้หลายอย่างสามารถกระตุ้นให้เส้นเลือดหัวใจหดตัว ทำให้ไขมันในเลือดผิดปกติ และยังมีผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือดอีก ในผู้ป่วยโรคหัวใจที่ผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจไปแล้วหากยังคงสูบบุหรี่อยู่จะพบว่าเส้นเลือดที่ผ่าตัดนั้นกลับมาตีบใหม่ในระยะเวลาไม่นาน 
3. ความดันโลหิตสูง โดยความเป็นจริงแล้วการรักษาความดันโลหิตสูงก็คือ การป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ อัมพาต และโรคหัวใจในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง (ความดันโลหิตตัวล่างประมาณ 105 มิลลิเมตรปรอท) เมื่อเฝ้าดูไป 10 ปี พบว่าเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจถึง 6 เท่าของผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ (ความดันโลหิตตัวล่างประมาณ 76มิลลิเมตรปรอท) และพบว่าการรักษาความดันโลหิตสูงด้วยยาลดความดันสามารถที่จะลดการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจได้จริง ยิ่งความดันโลหิตก่อนรักษาสูงมาก ผลดีที่ได้จากการรักษาจะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ควรควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน งดอาหารเค็ม และ รับประทานยาสม่ำเสมอ

4. โรคเบาหวาน โรคหัวใจนับว่าเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน บางครั้งแล้วผู้ป่วยเบาหวานอาจไม่มีอาการเจ็บหน้ากอกเลย แต่อาจเป็นอาการเหนื่อยง่ายผิดปกติแทน อย่างไรก็ตามโรคเบาหวานไม่ควรรักษาด้วยตนเองโดยไม่ไปพบแพทย์ เพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดนั้นอาจแปรเปลี่ยนไปได้ ควรมีการควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีตลอดเวลา เพราะการควบคุมเบาหวานที่ไม่ดีพออาจจะไม่ต่างจากการไม่ควบคุมเลยก็ได้
5. การไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญต่อร่างกายโดยเฉพาะต่อหัวใจ เราพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจถึง 2 เท่าในผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย และเกิดการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงกว่าผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอถึง 27 เปอร์เซ็นต์
การออกกำลังกายที่ดี คือ การออกกำลังกายชนิด aerobic exercise เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน การเต้นแอโรบิค เป็นต้น ขณะออกกำลังกายหัวใจควรเต้นประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ของอัตราเต้นสูงสุดหรือประมาณได้ว่า รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ซึ่งจะเป็นการออกกำลังกายที่มีผลดีต่อหัวใจมากที่สุด หากว่าไม่สามารถออกกำลังกายได้ตามที่กล่าวการออกกำลังกายบ้างก็ได้ประโยชน์ต่อร่างกายกว่าการไม่ออกกำลังกายเลย
6. โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน 20 เปอร์เซ็นต์ จัดว่าเป็นโรคอ้วน (obesity) ส่วนผู้ที่น้ำหนักเกินมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ จัดว่าเป็นโรคอ้วนอันตราย (morbid obesity) ซึ่งจะพบว่ามีโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้หลายอย่างโดยเฉพาะโรคหัวใจ คนอ้วนจะเป็นโรคหัวใจได้บ่อยกว่าคนไม่อ้วนถึง 2 เท่า และมีโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคกรน โรคข้อ เป็นต้น การลดน้ำหนักจะช่วยทำให้โอกาสเกิดโรคต่างๆ ลดลงได้ 
7. ความเครียด โดยเฉพาะในผู้ที่มีอุปนิสัยเครียดง่าย จะป่วยเป็นโรคหัวใจได้บ่อยขึ้นกว่าผู้ที่ไม่เครียดถึง 2 เท่า และความเครียดยังเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกายให้ผิดปกติ อาจทำให้เส้นเลือดหัวใจที่ตีบอยู่แล้วเกิดปริแตก หรืออุดตันได้ง่ายขึ้น การพยายามปรับเปลี่ยนอุปนิสัยไม่เครียดกับอะไรง่าย ๆ

อาหารที่ห้ามรับประทานในคนที่เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและคนที่เป็นโรคหัวใจ

1. อาหารเพิ่มไขมัน (LDL) อาหารจำพวกเบเกอรี  เช่น เค้ก คุกกี้ พาย โดนัท พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ หรือ Fast Food ล้วนเป็นอาหารที่มีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง ทำอันตรายกับหัวใจโดยตรง
2. อาหารแปรรูปไขมันสูง อาหารเนื้อสัตว์ปรุงกึ่งสำเร็จรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก แฮม กุนเชียง หมูยอ หากยิ่งทานบ่อยๆหรือ ทอดกับน้ำมัน อาจจะทำให้เส้นเลือดอุดตันได้ง่าย
3. อาหารที่มีไขมันสัตว์ในเมนูอาหาร อาหารจานเดียว เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเนื้อหรือหมูที่แทรกไขมันมากรวมถึง หนังสัตว์ เครื่องในสัตว์
4. อาหารรสเค็มและหวานจัด อาหารหมักดองหรือปรุงแต่งให้เค็ม เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักดอง กุ้งแห้ง กะปิ ไข่เค็ม ไชโป้วเค็ม เพราะมีส่วนผสมของโซเดียมสูง (Sodium) และมีส่วนประกอบของผงชูรส ผงปรุงรสต่างๆ หรือซอส เพื่อใช้ในการถนอมอาหาร ความเค็มจะยิ่งมีมาก เพื่อให้สามารถเก็บอาหารได้นานยิ่งขึ้น อาหารรสหวานจัด เช่น กลุ่มเบเกอรี ขนมปัง ที่มีส่วนประกอบของแป้ง นม เนย น้ำตาล ขนมหวานต่างๆ และน้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่คั้นแล้วใส่น้ำตาล ผู้ป่วยควรเลี่ยงเป็นน้ำผลไม่คั้นสด หรือคั้นพร้อมกากแทน ส่วนผลไม้ก็เลือกรับประทานเป็นเป็นผลไม้รสจืดหรืออมเปรี้ยว ให้วิตามินสูง เช่น แอปเปิ้ลเขียว ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร มันแกว หลีกเลี่ยงผลไม้รสหวาน เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย น้อยหน่า องุ่น ฯลฯ

5. อาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน ผู้ป่วยโรคหัวใจควรระมัดระวังเรื่อง การใช้น้ำมันประกอบอาหาร ควรใช้ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ประกอบการทำอาหาร และไม่ควรใช้น้ำมันใน  ปริมาณเย่อะหรือรับประทานบ่อย เช่น อาหารที่ผ่านการทอด ควรเลี่ยงเป็นอาหารที่ต้มหรือนึ่งมากกว่า หากต้องรับประทานอาหาร ที่ผ่านการทอดให้ใช้น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันคาโนล่าทดแทน เนื่องจากมีจำนวนของไขมันดี (HDL) และรับประทานแล้วเกิดโทษต่อร่างกายและส่งผลต่อหัวใจน้อย
6. อาหารทะเล อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม ยิ่งจะทำให้ปริมาณทั้งไขมันและคอเลสเตอรอลสูงยิ่งขึ้น เป็นไปได้จึงควรงดหลีกเลี่ยง หรือรับประทานแต่น้อย
7. งดดื่มแอลกอฮอล์ หากผู้ป่วยโรคหัวใจบริโภคเข้าไป จะเป็นโทษต่อร่างกาย และทำให้เกิดผลกระทบต่อหัวใจและเส้นเลือดหัวใจ
8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ น้ำอัดลม เนื่องจากมีสารคาเฟอีน มีผลกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง หากต้องการบริโภคควรรับประทานแต่น้อยและปรึกษาแพทย์ โดยควบคุมการรับประทานของตนเองให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

อิมมูตี้ (สมุนไพรพลูคาว) ตราคุณสัมฤทธิ์

400.00 บาท740.00 บาท
Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top