การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงเวลาของการมีประจำเดือน สาวๆ หลายคนมักรู้สึกไม่สบายตัวจนเกิดความกังวลว่าจะสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่ จริงๆ แล้วการออกกำลังกายในช่วงเวลานี้ยังคงมีประโยชน์และสามารถทำได้เพียงแค่เลือกประเภทที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในช่วงนี้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายระหว่างมีประจำเดือน พร้อมคำแนะนำในการเลือกวิธีออกกำลังกายให้เหมาะสม
ประโยชน์ของการออกกำลังกายในช่วงมีประจำเดือน
ถึงแม้ว่าการมีประจำเดือนจะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าหรือรู้สึกไม่สบาย แต่การออกกำลังกายที่ถูกต้องสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ ซึ่งมีประโยชน์ที่ควรทราบดังนี้:
1. ลดอาการ PMS (Premenstrual Syndrome)
PMS หรืออาการก่อนมีประจำเดือนคือภาวะที่ส่งผลให้หลายคนรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และอารมณ์แปรปรวนก่อนหรือระหว่างที่มีประจำเดือน การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) ที่เป็นสารธรรมชาติในร่างกาย ทำหน้าที่เสมือน “ฮอร์โมนความสุข” ซึ่งช่วยปรับอารมณ์ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการหงุดหงิด และช่วยเพิ่มพลังบวกให้กับร่างกายและจิตใจ
2. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
การไหลเวียนเลือดที่ดีมีผลโดยตรงต่อการบรรเทาอาการปวดท้องและปวดเกร็งที่เกิดขึ้นในช่วงมีประจำเดือน เมื่อเราออกกำลังกาย เลือดจะไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้การบีบรัดของมดลูกที่เป็นสาเหตุของอาการปวดลดลง นอกจากนี้ การไหลเวียนเลือดยังช่วยส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. รักษาระดับพลังงานของร่างกาย
ช่วงมีประจำเดือนเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายไม่คงที่ ทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้า การออกกำลังกายเบาๆ ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงาน ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพิ่มขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และลดอาการเหนื่อยล้าในระหว่างวัน
การออกกำลังกายแบบไหนที่เหมาะกับช่วงมีประจำเดือน?
การเลือกประเภทการออกกำลังกายในช่วงมีประจำเดือนต้องคำนึงถึงความสบายและความปลอดภัยของร่างกาย เนื่องจากร่างกายอยู่ในภาวะที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้นควรเน้นการออกกำลังกายที่เบาและไม่เพิ่มความเครียดให้กับร่างกาย ซึ่งมีรูปแบบการออกกำลังกายที่แนะนำดังนี้:
1. โยคะและพิลาทิส
โยคะและพิลาทิสเป็นการออกกำลังกายที่เน้นการยืดหยุ่นและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย โดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและหน้าท้องที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งในช่วงมีประจำเดือนได้ การหายใจลึกๆ และการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลในโยคะยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจิตใจด้วย อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงท่าที่ต้องยกขาสูงกว่าศีรษะหรือท่ากลับหัว เช่น ท่า Headstand หรือ Shoulder Stand เพราะอาจทำให้เลือดไหลย้อนกลับ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย
2. คาร์ดิโอหรือแอโรบิกเบาๆ
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและเพิ่มการไหลเวียนเลือด โดยเน้นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะๆ หรือการเต้นแอโรบิกแบบเบาๆ การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยลดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ และยังเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือดด้วย นอกจากนี้ การคาร์ดิโอยังช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งช่วยปรับอารมณ์และลดความเครียด
3. เวทเทรนนิ่งแบบเบาๆ
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักเบาๆ หรือทำเวทเทรนนิ่งในระดับที่ไม่หนักจนเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในช่วงมีประจำเดือน การฝึกท่าต่างๆ เช่น สควอทช้าๆ หรือการยกน้ำหนักที่มีน้ำหนักน้อยๆ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นโดยไม่ทำให้ร่างกายเครียดจนเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบเผาผลาญและกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินในร่างกายด้วย
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการออกกำลังกายในช่วงมีประจำเดือน
ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายในช่วงมีประจำเดือนจะมีประโยชน์ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังที่ต้องคำนึงถึง เพื่อไม่ให้การออกกำลังกายส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การกระโดดหรือการวิ่งเร็ว เพราะอาจทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากเกินไปและเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- หลีกเลี่ยงการฝืนออกกำลังกายเมื่อรู้สึกปวดเกร็งมากๆ หรือมีอาการไม่สบายตัว ควรรับฟังสัญญาณของร่างกายและปรับการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายในช่วงเวลานั้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสภาวะแวดล้อมที่ร้อนหรือมีอุณหภูมิสูง เพราะอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้นและทำให้เกิดอาการวิงเวียนได้ง่าย
สรุป
การออกกำลังกายในช่วงมีประจำเดือนไม่เพียงแต่สามารถทำได้ แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วย หากเลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับร่างกายในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นโยคะ พิลาทิส คาร์ดิโอเบาๆ หรือเวทเทรนนิ่งแบบเบาๆ การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการปวดเกร็ง และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงทั้งในด้านร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือการรับฟังสัญญาณจากร่างกายของตัวเอง และไม่ฝืนทำกิจกรรมที่หนักเกินไปในช่วงเวลานี้