Hepatitis B Virus (HBV) ไวรัสตับอักเสบ บี

Hepatitis B Virus (HBV) ไวรัสตับอักเสบ บีไวรัสตับอักเสบ บี

Hepatitis B Virus (HBV) ไวรัสตับอักเสบ บี

Hepatitis B Virus (HBV) โรคไวรัสตับอักเสบ บี ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณสถานการณ์ล่าสุดว่าประชากรโลกประมาณ 300 ล้านคนเป็นพาหะเรือรังของไวรัสตับอักเสบ บี และในจำนวนนี้อย่างน้อย 1 ล้านคนจะกลายเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด

อาการ/กลไกการก่อโรคของ Hepatitis B Virus (HBV)

ผู้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ปี ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพบว่ามีอาการทางคลินิก (subclinical infection) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับเชื้อในวัยเด็ก แต่ประมาณหนึ่งในสามของผู้ติดเชื้อในวัยที่เป็นผู้ใหญ่จะเกิดอาการเฉียบพลัน
การดำเนินโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนเหลือง ระยะเหลือง และระยะหายป่วย ระยะก่อนเหลือง (preicteric หรือ prodromal) เริ่มหลังจากระยะฟักตัวของโรคซึ่งอยู่ในช่วง 6 – 26 สัปดาห์ เริ่มตัวยอาการวิงเวียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร นอกจากนี้ยังพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเจ็บที่ชายโครงด้านขวา ได้บ่อย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการโดยมีไข้ต่ำๆ ผื่นขึ้นลักษณะแบบผื่นลมพิษ (urticarial rash) ปวดตามข้อต่างๆ (polyarthritis) หลังจากนั้นประมาณ 2 วัน – 2 สัปดาห์ จะเข้าสู่ระยะเหลือง พบปัสสาวะมีสีเข้มตามด้วยอุจจาระสีซีด ตาและตัวเหลือง และอาจกินเวลาหลายสัปดาห์ก่อนเข้าสู่ระยะฟื้น (convalescent)

ลักษณะการดำเนินโรคหลังติดเชื้อ

ตับอักเสบชนิดร้ายแรง (fulminant hepatitis) สามารถพบได้ร้อยละ 1 โดยในผู้ป่วยส่วนใหญ่เซลล์ตับที่เสียไปจะถูกซ่อมแชมเสร็จเรียบร้อย ภายใน 2 – 3 เดือน และประมาณร้อยละ 10 กลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง หรือเป็นพาหะ (carrier) คือพบ ว่า แฮปพาไตติสเชอร์เฟส แอนติเจน (HBSAg) เป็นระยะเวลา นานกว่า 6 เดือน ผู้ติดเชื้อเรื้อรังอาจไม่มีอาการปรากฏ (asymtomatic carrier state หรือ healthy carrier) แต่บางรายมีอาการตับอักเสบ ทารกที่ได้รับเชื้อในระยะระหว่างคลอดหรือแรกเกิดมีโอกาสสูงที่จะเป็นพาหะ โดยมีอัตราการเป็นพาหะลดลงเรื่อยๆ เมื่อติดเชื้อขณะมีอายุมากขึ้น และพาหะ พบในชาย : หญิง ในอัตรา 1.6 : 1 นอกจากนี้ในรายที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกกดดัน เช่น ได้รับยา (cytotoxic drugs) หรือติดเชื้อไวรัส เอดส์ (human immunodeficiency virus , HIV) จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง โรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่พบในผู้ป่วย อาจเป็นชนิดเรือรังและยืดเยื้อ (chronic persistent hepatitis) คือมี HBSAg แต่ไม่พบไวรัสในเลือด อีกกลุ่มจัดเป็นชนิดเรื้อรังและรุนแรง (chronic active hepatitis) ซึ่งมี HBV เพิ่มจำนวนและตรวจพบได้ในเลือด เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น อาจกลายเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ในที่สุด

ความคงทนของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี

ไวรัสตับอักเสบ บี ค่อนข้างทนทานเมื่อเปรียบเทียบกับไวรัสชนิดอื่น
1.  โดยไวรัสที่อยู่ในชีรัม เมื่อปนเปื้อนในแหล่ง หรือพื้นที่ที่มีอุณหภูมิหัล (ประมาณ 24 ถึง 30 องศาเซลเซียส) นานถึง 6 เดือน เชื้อไวรัสก็ยังสามารถก่อโรคได้
2. เชื้อไวรัสสามารถทนต่อการต้มที่ 60 องศาเซลเซียส นาน 4 ชั่วโมง แต่ถ้าจะลดการติดเชื้อไวรัส (infectivity) ต้องต้มที่ 98 องศาเซลเซียส นานกว่า 1 นาที

การทำลายเชื้อไวรัส

1.       การทำลายเชื้อไวรัส การนึ่งฆ่าเชื้อ (autocave) ทำที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส นาน 15 นาที หรือถ้าใช้ความร้อนชนิดที่ไม่มีไอน้ำ (dry heat) ต้องทำที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 1 ชั่วโมง
2.       สารละลาย sodium hypochlorite เป็นสารประกอบของคลอรีน รู้จักกันในนามของน้ำยากัดผ้าให้ขาว เป็นน้ำยาฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ที่ผลดีมาก ใช้เป็น disinfectant (สารเคมีที่ใช้ทำลาย เชื้อโรค ใช้กับสิ่งไม่มีชีวิต) เช็ดโต๊ะทำงานในห้องปฏิบัติการ ฆ่าเชื้อที่แปดเปื้อนภาชนะ และเครื่องใช้ต่างๆ แต่มีฤทธิ์กัดกร่อนโลหะ ขนาดใช้คิดตามความเข้มข้นของคลอรีน เท่ากับ 0.05-0.1% หรือ 500 – 1000 ppm (1 part per million หมายถึงมีสารหนัก 1 กรัมในน้ำ 1 ล้านลูกบาศก์เซนติเมตร) ถ้าต้องการฆ่าเชื้อโรคปริมาณมาก เช่น ทำขวดเลือดหรือขวดเชื้อหกจะต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีก 10 เท่า เป็นคลอรีน 196 หรือ 10,000 ppm
3.       ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือฟอร์มาลิน (formadehyde หรือ formalin) ฟอร์มาลิน คือ สารละลายซึ่งมีแก็สฟอร์มาลดีไฮด์ละลายอยู่ 40% ทำลายเชื้อได้ดี แต่ทั้งสารละลายและไอมีพิษต่อเนื้อเยื่อมากใช้เป็น disinfectant ได้ผลดีความเข้มข้น 1.5% สามารถฆ่าไวรัสเริม 5% สามารถฆ่าไวรัสตับอักเสบ บี ในความเข้มข้นต่ำๆ 0.2 – 0.4% นำมาใช้ฆ่าไวรัสเพื่อผลิตวัคชีนเพราะจะไม่ทำลายแอนติเจนของเชื้อนอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้ในรูปก็าซเพื่ออบห้องฆ่าเชื้อในอากาศ โดยนำฟอร์มาลินมาทำให้ร้อนหรือผสมกับด่างทับทิมก็จะกลายเป็นก็าซ เป็นต้น

ใครที่มีโอกาสเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี

1.       การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัส
2.       การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันโดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดยาเสพติด
3.       เจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติการที่มีโอกาสสัมผัสกับเลือด หรือส่วนประกอบของเลือด
4.       การใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัส เช่น แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด เป็นต้น
5.       การเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก
6.       ทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ

การป้องกัน

การป้องกันแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการให้เลือดหรือส่วนประกอบต่างๆ ของเลือดโดยไม่จำเป็น
2. ไม่ใช้ของมีคม เข็มฉีดยาและหลอดฉีดยาร่วมกัน หรือไม่ใช้ภาชนะในการดื่มน้ำ รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพาหะ
3. คู่สามีภรรยา ถ้ามีผู้ใดเป็นพาหะ อีกฝ่ายหนึ่งควรได้รับวัคซีนป้องกัน
4. วัคซีน ให้วัคชีนป้องกันตับอักเสบ บี แก่เด็กแรกเกิดทุกคนโดยให้เข็มที่ 1 ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด เข็มที่ 2 เมื่ออายุ 2 เดือน และเข็มที่ 3 เมื่ออายุ 6 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะผ่านมาจากแม่และการติดเชื้อในระยะต่อไป ในรายที่แม่มี HBeAg อาจพิจารณาให้ Hepatitis B immune globulin (HBIG)  ร่วมด้วย

ใครควรที่จะได้รับการฉีดวัคซีน

1. บุคคลที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
2. บุคคลที่เป็นโรคตับ หรือ โรคไตอักเสบเรื้อรัง
3. บุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
4. ผู้ป่วยโรคไตวายที่ต้องมีการล้างไต (kidney dialysis patients)
5. ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอดส์ สำหรับบุคคลที่สงสัยว่าเป็นภูมิแพ้ต่อยืนส์ โดยเฉพาะที่แพ้อย่างรุนแรง (severe allergies) ควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด

ทำความรู้จักกับสมุนไพรน่ารู้

ชื่ออื่น ต้นใต้ใบ, หญ้าลูกใต้ใบ, หมากไข่หลัง (เลย), หญ้าใต้ใบ (อ่างทอง, นครสวรรค์, ชุมพร), ไฟเดือนห้า (ชลบุรี), หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฏร์ธานี), หน่วยใต้ใบ (คนเมือง), มะขามป้อมดิน (ภาคเหนือ), จูเกี๋ยเช่า (จีน)
 
สรรพคุณ ทั้งต้น ช่วยลดไข้ทุกชนิด (ไข้หวัด ไข้ทับระดู ไข้จับสั่น) ขับระดูขาว แก้น้ำดีพิการ แก้ดีซ่าน แก้ขัดเบา แก้ไอ แก้กามโรค แก้ปวดฝี ขับปัสสาวะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องเสีย ต้น มีสรรพคุณช่วยลดไข้ แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว แก้ปวดฝี แก้ฟกช้ำบวม ลูก (ผล) แก้ร้อนใน แก้ไข้ ราก ช่วยแก้ไข้หวัด แก้ท้องเสีย แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ
 
องค์ประกอบทางเคมี
สารแทนนิน (Tannins), ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), ลิกแนนส์ (Lignans), ไกลโคไซด์ (Glycosides), ซาโปนิน (Saponin) ฯลฯ และสมุนไพรลูกใต้ใบยังประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญอีกเช่น ธาตุโซเดียม 0.86 %, ธาตุโพแทสเซียม 12.84 %, ธาตุเหล็ก 10.68 %, ธาตุแคลเซียม 6.57 %, ธาตุแมกนีเซียม 0.34 %
 
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ลูกใต้ใบมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและยับยั้งไวรัสตับอักเสบบีได้  ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ป้องกันการลดระดับรีดิวส์กลูตาไธโอนในตับ ช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ ยับยั้งการเกิดเนื้องอกและทำให้ก้อนเนื้องอกมีขนาดเล็กลง

ข้อห้าม/ข้อควรระวัง

อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นคันหรือปวดหัวในบางคน
ผลต่อตับและไต หากรับประทานในปริมาณมากหรือนานเกินไป อาจทำให้ตับและไตทำงานหนัก
ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร อาจส่งผลต่อการพัฒนาของทารก
ฤทธิ์ขับปัสสาวะ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบปัสสาวะควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ปฏิกิริยากับยาอื่น เช่น ยาลดความดัน ยารักษาเบาหวาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหากใช้ร่วมกัน

ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงร่างกาย

ยาแคปซูลผสมพลูคาว ตราสมุนไพรคุณสัมฤทธิ์

400.00 บาท740.00 บาท
Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top