กลิ่นตรงนั้นสำคัญไฉน และ 9 วิธีแก้น้องสาวมีกลิ่น (9 Methods to Address Unpleasant Odors in the Intimate Area)

กลิ่นตรงนั้นสำคัญไฉน และ 9 วิธีแก้น้องสาวมีกลิ่น (9 Methods to Address Unpleasant Odors in the Intimate Area)

กลิ่นตรงนั้นสำคัญไฉน และ 9 วิธีแก้ น้องสาวมีกลิ่น (9 Methods to Address Unpleasant Odors in the Intimate Area)

สัตว์ต่างๆ จะแสดงออกถึงอาการเป็นสัดหรือฮีทเมื่อถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ เช่น แมวจะร้องหง่าวหาคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย สุนัขตัวเมียจะมีมูกเลือดออกและอวัยวะเพศบวม ลิงบาบูนตัวเมียก้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด วัวตัวเมียจะยืนกระวนกระวายส่งเสียงร้องมูมูมีมูกออกมาจากช่องคลอด ทั้งมีกลิ่นที่อวัยวะเพศทำให้สัตว์ตัวผู้เข้าไปดม สำหรับคนอาการไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์หญิงชายมีการสื่อสารกันในช่วงไข่ตก โดยการผ่านฮอร์โมนที่ชื่อฟีโรโมน (pheromone)

ฟีโรโมนเป็นสารเคมีที่คนหรือสัตว์สร้างขึ้น วัตถุประสงค์คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกัน รวมไปถึงกระตุ้นความต้องการทางเพศ ฮอร์โมนโดยทั่วไปอยู่ภายในและออกฤทธิ์ในร่างกายตนเอง ส่วนฟีโรโมนเป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ภายนอกร่างกายส่งผลไปยังผู้อื่น

การออกฤทธิ์ของฟีโรโมน ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเชื่อว่าฮอร์โมนไปกระตุ้นส่วนของจมูกชื่อ วีเอ็นโอ (Vomeronasal organ,VNO) ซึ่งเชื่อมต่อกับสมองส่วนไฮโปธาลามัส แต่ในคนวีเอ็นโอมีตอนเป็นตัวอ่อนในครรภ์ เมื่อเติบโตได้ฝ่อหายไป จึงเชื่อว่าฟีโรโมนใช้กลไกรับกลิ่นของจมูกตามปกติส่งกระแสประสาทไปยังสมอง

นายแพทย์กุสตาฟ (Gustav Jäger 1832-1917) เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกทีค้นพบฟีโรโมน ซึ่งเป็นสารที่เกาะติดกับไขมันที่ผิวหนังและรูขุมขนบริเวณจุดต่างๆ เช่นอวัยวะเพศ ทวารหนัก รักแร้ ขาหนีบ ซอกคอ ผิวหนัง น้ำปัสสาวะ เป็นสารไม่มีกลิ่น หากมีแบคทีเรีย จึงเกิดกลิ่นเฉพาะ

มีหลักฐานว่า ฟีโรโมนเกี่ยวข้องกับการตกไข่ผ่านการทดลองของนักวิจัยชื่อ มาร์ธา แมคคลินต๊อค ปรากฏการณ์นี้เรียก “McClintock effect.” โดยเก็บเหงื่อของหญิงหนึ่ง
ให้หญิงอีกคนดม พบว่าสามารถเร่งให้ไข่ตกเร็วหรือช้ากว่าเดิมได้ ขึ้นอยู่ว่าเก็บเหงื่อช่วงที่หญิงอีกคนในช่วงไหน แม้งานวิจัยนี้จะมีผู้แย้งว่าหลักฐานไม่ชัดแจ้ง แต่ในชีวิตประจำวันพบว่า หญิงที่อยู่ใกล้ชิดกัน เป็นแม่ลูก หรือเป็นรูมเมทอยู่ด้วยกันในห้องเดียวกันจะมีประจำเดือนมาพร้อมกัน เชื่อว่าเป็นฝีมือของฟีโรโมนนั่นเอง

แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถฟันธงว่า ฟีโรโมนคือฮอร์โมนชนิดใด แต่เชื่อว่ามีจริงจากงานวิจัยต่อไปนี้

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์แคลิฟอร์เนีย ค.ศ.2013 เอาผ้าเปื้อนเหงื่อชายที่ออกกำลัง-กายไปให้ผู้หญิงดม เหงื่อเหล่านี้มีฮอร์โมนเพศชาย andrastadienone พบว่าสามารถกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอลในเพศหญิงที่ดมเหงื่อ เพิ่มความต้องการทางเพศให้ฝ่ายหญิงโดยเฉพาะในช่วงไข่ตก หากให้เพศชายดม สามารถเพิ่มความร่วมมือของเพศชายได้ เชื่อว่าฮอร์โมนเหล่านี้อาจจะเป็นฟีโรโมน

งานวิจัยในปี ค.ศ. 2004 มหาวิทยาลัย Jyväskylä ประเทศฟีนแลนด์ มีหญิงเข้าร่วมทดลอง 81 คน หญิง 39 คนไข่ตกตามธรรมชาติ หญิงอีก 42 คนกินยาคุมกำเนิดไม่มีไข่ตก ทั้งหมดให้สวมเสื้อเชิร์ตสอง วันแล้วให้ฝ่ายชายจำนวน 31 คน และหญิง 12 คน ดมเสื้อเชิร์ต ผลพบว่าในเพศชายกลิ่นที่สร้างความสนใจทางเพศมากที่สุด เป็นกลิ่นเหงื่อของหญิงที่อยู่ในช่วงไข่ตก กลิ่นเหงื่อของหญิงที่กินยาคุมกำเนิดไม่สร้างความสนใจเลย ส่วนเพศหญิงมีความสนใจทางเพศเพิ่มผลคล้ายชาย แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

เชื่อว่าเมื่อหญิงไข่ตกจะมีฟีโรโมนออกมากระตุ้นความรู้สึกทางเพศของฝ่ายชาย ให้มีเพศสัมพันธ์ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ ส่วนชายก็มีฟีโรโมนออกมาตามร่างกาย โดยเฉพาะรักแร้ และตามผิวหนัง การทำงานของฟีโรโมนนอกจากเรื่องเซ็กส์แล้วเชื่อว่าเป็นเรื่องความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก แม่สามารถดมกลิ่นจากเสื้อผ้าว่าชุดไหนเป็นของลูกตนเอง ลูกที่กินนมแม่ได้กลิ่นฟีโรโมนจากรักแร้แม่ สามารถแยกออกว่าเต้าไหนเป็นของแม่ตน

ฟีโรโมนเป็นสารจากธรรมชาติไม่มีกลิ่น ส่วนใหญ่อยู่ที่จุดซ่อนเร้น หากอยากให้ทำงานได้ผล ต้องดูแลสุขอนามัยไม่ให้มีกลิ่นของแบคทีเรีย ไม่กลบกลิ่นด้วยน้ำหอมกลิ่นต่างๆ หรือการหมักหมม ซึ่งจะทำให้เกิดผลตรงกันข้าม ได้แก่ ลดความต้องการทางเพศ อีกทั้งมีความเชื่อว่าสิ่งที่ได้ผลกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้มากกว่า คือรูปร่างหน้าตา รอยยิ้ม ดวงตา น้ำเสียง บุคลิกภาพ ความสะอาดของร่างกาย การแต่งกาย วิธีสื่อสาร ความเอาใจใส่ เพราะจะเห็นสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะได้กลิ่นฟีโรโมน

9 วิธีแก้น้องสาวมีกลิ่น ด้วยวิธีธรรมชาติ

1. สวมใส่กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย ใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่น เพื่อไม่ให้ช่องคลอดอับชื้นและช่วยให้อากาศถ่ายเท
2. อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังออกกำลังกาย
3. ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
4. รักษาสุขอนามัยให้ดี เช่น ล้างช่องคลอดด้วยน้ำอุ่น และใช้สบู่อ่อนๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
5. หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด
6. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่อาจเพิ่มกลิ่นช่องคลอด เช่น หัวหอม เครื่องเทศต่างๆ หรือของหมักดอง
7. หลังจากปัสสาวะ ให้ทำความสะอาดด้วยการเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลัง หรือเช็ดเป็นวงกลม เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียแพร่กระจายจากทวารหนักสู่ช่องคลอด
8. กินโยเกิร์ต อาหารจำพวกโพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรืออาหารเสริมที่มีโพรไบโอติกส์เป็นส่วนประกอบ
9. หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์หรือครีมภายในช่องคลอด เพราะอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้

• ถ้าตกขาวผิดปกติและมีกลิ่นเหม็นมาก การแก้ด้วยวิธีธรรมชาติอาจไม่ได้ผลเท่าไร แนะนำให้ไปตรวจภายในเพื่อจะได้รักษาอย่างถูกทาง ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์ไว และแก้ไขตรงจุด
• ถ้าแพทย์พบว่าต้นตอของกลิ่นเหม็นเกิดจากภาวะไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอดจริงๆ ก็อาจต้องรักษาด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อที่ครอบคลุมกลุ่มแบคทีเรียที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria)
• สิ่งสำคัญที่สุดคือการกินยาให้ครบถ้วน โดยปกติหมอมักจะจ่ายยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) มาให้ ต้องกินต่อเนื่องกันเป็นเวลา 7 วัน หรืออาจเป็นยาไตไนดาโซล (Tinidazole) แทนก็ได้
• นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ควรสังเกตว่าตัวเองอยู่เสมอว่ามีพฤติกรรมอะไรที่เสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายต่อแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอดบ้าง เช่น การกินยาฆ่าเชื้อที่ไม่เหมาะสม การทำความสะอาดบริเวณน้องสาวที่ไม่ถูกต้อง

บทความที่น่าสนใจ

ฮอร์โมนเอสโตเจน คืออะไร

ผลิตภัณฑ์ที่เสริมฮอร์โมนเพศหญิง

Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top