Osteoporosis กระดูกพรุน
โรคกระดูก-พรุน คือ โรคที่มีความแข็งแกร่งของกระดูก (bone strength) ลดลง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อกระดูกหักสูงขึ้นตามนิยามของ National Institute of Health ของสหรัฐอเมริกา ในปี 2543′ ความแข็งแกร่งของกระดกประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ความหนาแน่นของกระดก (bone density) และคุณภาพของกระดก (bone quality) ส่วนองค์การอนามัยโลก ได้ให้คำนิยามไว้ว่า “เป็นโรคกระดูกที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย (systemic skeletal disease) ซึ่งมีมวลกระทุกต่ำ (low bone mass) ร่วมกับการเสื่อมของโครงสารระดับจุลภาพของกระดูก (micro architecture deterioration) ส่งผลให้กระดูกมีความเปราะบางและหักง่าย” และได้กำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยโดยอาศัยการตรวจความหนาแน่นของกระดูกโดยให้การวินิจฉัยโรคกระดูก-พรุ่นเมื่อมีความหนาแน่นของกระดูกต่ำกว่า -2.5 ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (T-score 2.5) เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของมวลกระดูกในวัยสาวซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่มีมวลกระดูกสูงสุด
โรคกระดูกพรุน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. โรคกระดูก-พรุนแบบปฐมภูมิ (Primary Osteoporosis) โรคที่เกิดจากความเสียหายต่อกระดูกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและกระบวนการชราของร่างกาย
2. โรคกระดูก-พรุนแบบทุติยภูมิ (Secondary Osteoporosis) โรคที่เกิดจากความเสียหายต่อกระดูกเนื่องจากโรคหรือภาวะอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไตวาย โรคตับวาย เป็นต้น
สาเหตุของการเกิดโรค
โรคกระดูก-พรุน คือ โรคของกระดูกที่มีความแข็งแกร่งของกระดูกลดลง มี 2 สาเหตุหลักใหญ่ๆ คือ ปริมาณมวลกระดูกที่สะสมไว้มีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น (peak bone mass) หรือมีการสลายกระดูกมากกว่าปกติ ในช่วงอายุ 40-45 ปี จะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก ทำให้มวลกระดูกเริ่มลดลงในอัตราช้าๆ แต่หลังจากผู้หญิงเข้าวัยหมดประจำเดือน อัตราการสลายกระดูกจะสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มวลกระดูกลดลงตำจนถึงเกณฑ์ที่ทำให้ความเสี่ยงต่ยงต่อกระดูกหักเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค (Risk factor)
ปัจจัยเสียงที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ (non-modfable risk factors)
1. อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
2. เพศหญิง
3. ชนชาติผิวขาวและเหลือง
4. หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี รวมทั้งผู้ที่ถูกตัดรังไข่สองข้างก่อนหมดประจำเดือน (eady menopause)
5. โครงสร้างของร่างกายเล็ก (small body build)
6. บิดา มารดา พี่น้องเป็นโรคกระดูก-พรุนหรือกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุม
7. กระดูกหักจากภาวะกระดูกเปราะบาง (fragility fracture)
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ (modifiable risk factors)
1. บริโภคแคลเซียมไม่พอเพียง (inadequate calcium intake)
2. ไม่ค่อยได้ใช้แรงกาย (sedentary lifestyle)”
3. สูบบุหรี่เป็นประจำ
4. ดื่มสุรา/กาแฟเกินขนาดเป็นประจำ
5. ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 19 กก./ตร.ม.
6. มีภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
7. มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม (propensity to falls)
อาการของโรคกระดูกพรุน
– กระดูกหักได้ง่าย
– ปวดหลัง
– ปวดข้อ
– สูญเสียความสูง
– มีความเสี่ยงต่อการหักกระดูกสูงขึ้น
อาการของโรคกระดูก-พรุนอาจไม่ปรากฏชัดเจนในระยะแรก แต่อาจปรากฏขึ้นเมื่อกระดูก-พรุนเริ่มทำให้เกิดปัญหา ต่อไปนี้คืออาการที่อาจเกิดขึ้น
1. ปวดหลัง อาการปวดหลังอาจเกิดขึ้นเนื่องจากกระดูก-พรุนทำให้กระดูกสันหลังบางและเปราะลง
2. ปวดข้อ อาการปวดข้ออาจเกิดขึ้นเนื่องจากกระดูก-พรุนทำให้กระดูกข้อต่อบางและเปราะลง
3. สูญเสียความสูง โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้กระดูกสันหลังและกระดูกข้อต่อบางและเปราะลง ทำให้สูญเสียความสูง
4. กระดูกหักได้ง่าย โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้กระดูกหักได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกระดูกบางและเปราะลง
5. ปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะอาจเกิดขึ้นเนื่องจากกระดูก-พรุนทำให้กระดูกศีรษะบางและเปราะลง
6. ปวดคอ อาการปวดคออาจเกิดขึ้นเนื่องจากกระดูก-พรุนทำให้กระดูกคอบางและเปราะลง
7. ความไม่สบาย อาการความไม่สบายอาจเกิดขึ้นเนื่องจากกระดูก-พรุนทำให้กระดูกและข้อต่อไม่สบาย
8. การเดินไม่ปกติ โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้การเดินไม่ปกติ เนื่องจากกระดูกและข้อต่อไม่สบาย
การวินิจฉัยโรคตามความหนาแน่นของกระดูก
1. ปกติ (Normal) ความหนาแน่นกระดูกอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ -1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยมวลกระดูกสูงสุดในผู้หญิงวัยสาว (T-score มากกว่าหรือเท่ากับ -1)
2. กระดูกบาง (Osteopenia) ความหนาแน่นกระดูกอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า -1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแต่มากกว่า -2.5 เมื่อเปรียนเทียบกับค่าเฉลี่ยมวลกระดูกสุดในผู้หญิงวัยสาว (2.5 T-5-c-1)
3. กระดูก-พรุน (Osteoporosis) ความหนาแน่นกระดูกต่ำกว่าหรือเท่ากับ -2.5 ส่วนเบื่องเบนมาตรฐานเมื่อเปรียบกับค่าเฉลี่ยมวลกระดูกสูงสุดในผู้หญิงวัยสาว (T-score < -2.5)
4. กระดูก-พรุนระดับรุนแรง (Severe/Established osteoporosis) ความหนาแน่นกระดูกต่ำกว่าหรือเท่ากับ -2.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยมวลกระดูกสูงสุดในผู้หญิงวัยสาว (T-score & -2.5) ร่วมกับมีกระดูกหักจากความเปราะบาง (fragility fracture)
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระดูกพรุน
1. การหักกระดูก โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้กระดูกหักได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกระดูกบางและเปราะลง
2. การบาดเจ็บ โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้การบาดเจ็บเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกระดูกและข้อต่อไม่สบาย
3. การเสื่อมสภาพของกระดูก โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้กระดูกเสื่อมสภาพลงได้ ทำให้กระดูกหักได้ง่ายขึ้น
4. การเสื่อมสภาพของข้อต่อ โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้ข้อต่อเสื่อมสภาพลงได้ ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สบาย
5. การบาดเจ็บที่หลัง โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้การบาดเจ็บที่หลังเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกระดูกสันหลังบางและเปราะลง
6. การเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมสภาพลงได้ ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สบาย
7. การบาดเจ็บที่ข้อต่อ โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้การบาดเจ็บที่ข้อต่อเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น เนื่องจากข้อต่อไม่สบาย
8. การเสื่อมสภาพของกระดูกข้อต่อ โรคกระดูก-พรุนสามารถทำให้กระดูกข้อต่อเสื่อมสภาพลงได้ ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สบาย
การป้องกันโรคกระดูกพรุน
สามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและอาหารการกิน ต่อไปนี้คือวิธีการป้องกันโรคกระดูก-พรุน
การเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน
1. กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ไข่ ปลา และผักใบเขียว สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก
2. กินอาหารที่มีวิตามินดีสูง อาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น นม ไข่ ปลา และผักใบเขียว สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก
3. กินอาหารที่มีโปรตีนสูง อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา และไข่ สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก
4. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารที่มีน้ำมันพืชสูง สามารถทำให้กระดูก-พรุนได้
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายสามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกและลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูก-พรุน
2. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่สามารถทำให้กระดูก-พรุนได้
3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้กระดูก-พรุนได้
4. ควบคุมน้ำหนักตัว การควบคุมน้ำหนักตัวสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูก-พรุน
การตรวจสุขภาพ
1. ตรวจระดับแคลเซียมและวิตามินดีในเลือด การตรวจระดับแคลเซียมและวิตามินดีในเลือดสามารถช่วยตรวจพบปัญหาและรักษาได้อย่างรวดเร็ว
2. ตรวจกระดูก การตรวจกระดูกสามารถช่วยตรวจพบปัญหาและรักษาได้อย่างรวดเร็ว
การรักษาโรคกระดูก-พรุนสามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและอาหารการกิน การใช้ยารักษา และการรักษาด้วยการผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและอาหารการกิน
1. กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ไข่ ปลา และผักใบเขียว สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก
2. กินอาหารที่มีวิตามินดีสูง อาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น นม ไข่ ปลา และผักใบเขียว สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกและลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูก-พรุน
4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่สามารถทำให้กระดูก-พรุนได้
5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้กระดูก-พรุนได้
อาหารที่แนะนำสำหรับผู้ที่มีโรคกระดูก-พรุนหรือต้องการป้องกันโรคกระดูก-พรุน ได้แก่
1. อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ไข่ ปลา ผักใบเขียว และผลิตภัณฑ์นม
2. อาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น นม ไข่ ปลา ผักใบเขียว และผลิตภัณฑ์นม
3. อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์นม
4. อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
5. อาหารที่มีแร่ธาตุสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
1. อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารที่มีน้ำมันพืชสูง
2. อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง
3. อาหารที่มีเกลือสูง เช่น อาหารที่มีเกลือสูง
4. อาหารที่มีคาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชา และช็อกโกแลต
ทำความรู้จักกับสมุนไพรน่ารู้
กระวาน
ชื่ออื่น กระวานขาว (ภาคกลาง ภาคตะวันออก) ข่าโคม ข่าโคก หมากเนิ้ง(ตะวันออกเฉียงเหนือ) ปล้าก้อ (ปัตตานี) มะอี้ (เหนือ) กระวานดำ กระวานแดง กระวานโพธิสัตว์ กระวานจันทร์
สรรพคุณ
รากกระวานมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างกระดูกและลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูก-พรุน
การลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด รักษาโรคปวดข้อ ลดความเครียดและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
การรักษาโรคผิวหนัง
ตำรายาไทย ผลแก่ รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ใช้แก้อาหารท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม และแก้แน่นจุกเสียด มีฤทธิ์ขับลม และบำรุงธาตุ แก้ธาตุไม่ปกติ บำรุงกำลัง ขับโลหิต แก้ลมในอกให้ปิดธาตุ แก้ลมเสมหะให้ปิดธาตุ แก้ลมในลำไส้ เจริญอาหาร รักษาโรครำมะนาด แก้ลมสันนิบาต แก้สะอึก แก้อัมพาตรักษาอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เมล็ด แก้ธาตุพิการ อุจจาระพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ปวดท้อง ขับลม นอกจากนี้ยังใช้ผสมกับยาถ่ายเพื่อบรรเทาอาการไซ้ท้อง (คลื่นไส้อาเจียน) เช่น มะขามแขก
พิกัดยาไทย ที่มีกระวานเป็นส่วนประกอบ คือ พิกัดตรีธาตุ เป็นยาแก้ธาตุพิการ แก้ลม แก้เสมหะ แก้ไข้ พิกัดตรีทุราวสา เป็นยาแก้เสมหะ แก้ลม บำรุงน้ำดี แก้พิษตานซาง
บัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผลกระวานไทย ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ ในยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ตำรับยา “ยาธาตุบรรจบ” ใช้บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ และอาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องเสียที่ไม่ติดเชื้อ
องค์ประกอบทางเคมี
ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย (essential oil) 5-9% ซึ่งมีองค์ประกอบ camphor, myrcene, limonene, linalool, cineol , bornyl acetate , 1,8-cineol, beta-pinene, alpha-pinene, p-cymene, car-3-ene, terpinen-4-ol, alpha-terpineol, thujone, (E)-nuciferol, alpha-santalol, farnesol isomer, alpha-bisabolol, cinnamaldehyde, (Z)-alpha-trans- bergamotol, safrole, cis-laceol, alpha-curcumene
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อมาลาเรีย การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย ของสารบริสุทธิ์ 7 ชนิดที่แยกได้จากเมล็ดกระวานไทยซึ่งเป็นสารกลุ่มโมโนเทอร์ปีน 4 ชนิด ฟลาโวนอยด์ 1 ชนิด และคาดว่าเป็นสารประเภทไดเทอร์ปีน 2 ชนิด และฤทธิ์ยับยั้งภูมิคุ้มกัน การทดสอบสารสกัดน้ำของผลกระวาน ในการยับยั้งการทำงานของคอมพลีเมนต์ (การทำงานของคอมพลีเมนต์นอกจากจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายได้ เช่น ทำให้เกิดพยาธิสภาพในผู้ป่วยโรคภูมิต้านทานตนเอง การทดลองนี้จึงสนใจที่จะศึกษาสมุนไพรที่สามารถยับยั้งการทำงานของคอมพลีเมนต์ในการทำให้เม็ดเลือดแดงแกะแตก)
ขมิ้นชัน
ชื่ออื่น ขมิ้น (ทั่วไป), ขมิ้นแกง (ภาคใต้), ขมิ้นหยี (ปัตตานี), ขี้มิ้น (เหนือ), มิ้น (อีสาน), หมิ้น (ชาวไทยใหญ่), ฮำมิ้น (เขมรสุรินทร์)
สรรพคุณ
เหง้าและผงขมิ้นชันใช้ในการรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด และแผลในกระเพาะอาหาร
มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยสมานแผล และบรรเทาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
เสริมภูมิคุ้มกัน ลดการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยบำรุงตับ และกระตุ้นการหลั่งน้ำดี
ในตำรายาไทย ขมิ้นจัดเป็นยารสฝาด ขม หอม ใช้รักษาโรคผิวหนัง แผลพุพอง กลากเกลื้อน ผื่นคัน ผิวอักเสบ
แก้พิษ แก้ท้องร่วง แก้ไข้ บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต บำรุงผิวพรรณ และยังใช้ในสตรีหลังคลอดเพื่อขับน้ำคาวปลา และฟื้นฟูสุขภาพ
เมล็ดและผงขมิ้นชัน ใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่นในตำรับยาไทย เช่น “ยาธาตุบรรจบ” และ “ยาหอมเทพจิตร” เพื่อเสริมฤทธิ์ทางยาทางเดินอาหาร และบำรุงกำลัง
บัญชียาจากสมุนไพร
ขมิ้นชันจัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร โดยใช้ในรูปแบบแคปซูลผงแห้งขมิ้นชัน สำหรับบรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด และแผลในกระเพาะอาหาร
องค์ประกอบทางเคมี
สารสำคัญหลักคือ เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลที่มีสีเหลืองทอง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง
นอกจากนี้ยังมี Demethoxycurcumin, Bisdemethoxycurcumin, Turmerone, Atlantone, Zingiberene, Curlone และน้ำมันหอมระเหยในกลุ่มเซสควิเทอร์ปีนส์
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
– ต้านการอักเสบ: Curcumin สามารถยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น COX-2
– ต้านจุลชีพ: ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เช่น Helicobacter pylori ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของแผลในกระเพาะอาหาร
– ต้านอนุมูลอิสระ: ลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
– ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยลดระดับไขมันในเลือด
– ฤทธิ์ต่อตับ: ป้องกันเซลล์ตับจากสารพิษ และกระตุ้นการหลั่งน้ำดี
– ต้านมะเร็ง: การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า curcumin มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
บทความที่น่าสนใจ
Plantar Fasciitis รองช้ำ
Rheumatoid Arthritis ข้ออักเสบรูมาตอยด์