Syphilis-Gonorrhea ซิฟิลิส-หนองใน ระบาด กรมควบคุมโรคเตือนเยาวชน
กรมควบคุมโรค เผยพบอัตราโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในเยาวชนมากขึ้น ทั้ง “ซิฟิลิส-หนองใน” แนะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้ง
วันนี้ (24 ก.พ.2567) นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2566 โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2561 และเพิ่มขึ้น 3 เท่าในกลุ่มเยาวชน จากอัตราป่วย 27.9 เพิ่มเป็น 90.5 ต่อประชากรแสนคน
พบอัตราป่วยโรคหนองใน ในกลุ่มเยาวชน เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2565 จากอัตราป่วย 41.9 เพิ่มเป็น 86.6 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งอัตราป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย และมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี 5-9 เท่า
ซิฟิลิส (Syphilis) และหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย โรคทั้งสองมีอาการที่คล้ายกันในบางกรณี แต่มีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนี้
ซิฟิลิส (Syphilis)
ซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก) หรือจากการสัมผัสกับแผลที่เกิดจากการติดเชื้อ
อาการ ซิฟิลิส (Syphilis) และหนองใน (Gonorrhea)
ระยะที่ 1 (Primary stage): เกิดแผล (chancre) ที่บริเวณที่ติดเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก แผลจะไม่เจ็บและหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์
ระยะที่ 2 (Secondary stage): เมื่อเชื้อแพร่กระจายไปที่ผิวหนัง จะมีผื่นที่มือและฝ่ามือหรือฝ่าเท้า มักจะมาพร้อมกับอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม และเจ็บคอ
ระยะที่ 3 (Latent stage): เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ อาจอยู่ได้นานหลายปี
ระยะที่ 4 (Tertiary stage): หากไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจทำให้เกิดความเสียหายที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง หรือกระดูก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ซิฟิลิส (Syphilis)
ซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก) หรือจากการสัมผัสกับแผลที่เกิดจากการติดเชื้อ
อาการ ซิฟิลิส (Syphilis) และหนองใน (Gonorrhea)
ระยะที่ 1 (Primary stage): เกิดแผล (chancre) ที่บริเวณที่ติดเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก แผลจะไม่เจ็บและหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์
ระยะที่ 2 (Secondary stage): เมื่อเชื้อแพร่กระจายไปที่ผิวหนัง จะมีผื่นที่มือและฝ่ามือหรือฝ่าเท้า มักจะมาพร้อมกับอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม และเจ็บคอ
ระยะที่ 3 (Latent stage): เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ อาจอยู่ได้นานหลายปี
ระยะที่ 4 (Tertiary stage): หากไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจทำให้เกิดความเสียหายที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง หรือกระดูก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
การรักษา
การรักษาซิฟิลิสส่วนใหญ่ใช้ ยาปฏิชีวนะ โดยการฉีดเพนิซิลลิน ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงหากรักษาในระยะแรก
วิธีการป้องกัน:
ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะถ้ามีความเสี่ยงสูง
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการรักษาและการดูแลตนเอง
เพราะโรคซิฟิลิสเป็นโรคที่รักษาหาย พร้อมชวนคู่มาตรวจและรักษาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างการรักษาควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ส่วน โรคหนองใน มักจะมีอาการแสดงในเพศชายที่มีการติดเชื้อบริเวณท่อทางเดินปัสสาวะ และจะแสดงอาการหลังติดเชื้อประมาณ 3-5 วัน ซึ่งอาการที่พบในเพศชาย คือ ปัสสาวะแสบขัด ปวดและบวมที่ลูกอัณฑะ มีหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ
สำหรับการติดเชื้อที่อวัยวะเพศหญิง ช่องคลอด ทวารหนัก ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ แต่หากมีอาการของการติดเชื้อที่อวัยวะเพศหญิง จะทำให้ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย หรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ มีตกขาว เป็นมูกหนอง หากปล่อยทิ้งไว้เชื้ออาจลุกลามไปถึงมดลูกและปีกมดลูก เสี่ยงภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
อย่างไรก็ตาม หากมีความเสี่ยง แนะนำให้รีบมาตรวจ เพื่อจะทำการรักษาทันทีเพราะรักษาให้หายขาด แต่มีโอกาสกลับมาเป็นได้ซ้ำหากมีความเสี่ยงเช่นเดิม




