Benign Prostatic Hyperplasia ต่อมลูกหมากโต
โรคต่อมลูกหมากโต หรือ BPH เป็นภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้น โรคนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะไม่สุด และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและโรคไต
สาเหตุของโรคนี้
ต่อมลูกหมากตั้งอยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะ และล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น เมื่อต่อมลูกหมาก-โตขึ้น จะไปเบียดท่อปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะไหลออกลำบาก
ปัจจัยที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุ:
• ฮอร์โมนเพศชายไม่สมดุล:
ฮอร์โมนเพศชายที่เปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้น อาจกระตุ้นให้เซลล์ในต่อมลูกหมากเพิ่มจำนวนจนเกิดการโตขึ้น
• การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันและการอักเสบเรื้อรัง:
อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เซลล์ในต่อมลูกหมาก-โตผิดปกติ
โรคอื่นที่อาจแสดงอาการคล้ายโรคต่อมลูกหมาก-โต
• การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
• ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
• ท่อปัสสาวะตีบจากพังผืด
• นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
• มะเร็งต่อมลูกหมากหรือกระเพาะปัสสาวะ
อาการของโรคต่อมลูกหมาก-โต
ผู้ที่เป็นโรคต่อมลูกหมาก-โตอาจแสดงอาการแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการดังนี้:
อาการที่พบบ่อย:
1. ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน (Nocturia)
2. ปัสสาวะออกช้าหรือไหลอ่อน
3. ปัสสาวะไม่สุด ต้องเบ่งปัสสาวะ
4. ปัสสาวะขาดหรือสะดุด
5. ปัสสาวะเล็ดหลังจากปัสสาวะเสร็จ
อาการรุนแรง:
• ปัสสาวะมีเลือดปน
• ปวดแสบเวลาปัสสาวะ
• การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะซ้ำซาก
• แม้ว่าต่อมลูกหมากจะโตขึ้น แต่ระดับความรุนแรงของอาการไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับขนาดของต่อมลูกหมาก
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่อมลูกหมาก-โต
1. อายุที่มากขึ้น:
ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปีมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีอาการปานกลางถึงรุนแรง และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอีกในวัย 80 ปี
2. ฮอร์โมนเพศชาย:
การใช้ฮอร์โมนทดแทนหรือสมุนไพรที่กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมลูกหมาก-โต
3. โรคเบาหวานและโรคหัวใจ:
การวิจัยพบว่าโรคเบาหวานและการใช้ยาเบต้าบล็อกเกอร์เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต่อมลูกหมาก-โต
4. การอักเสบของต่อมลูกหมาก:
การติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากหรือการอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้ต่อมลูกหมาก-โตขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หากปล่อยให้โรคต่อมลูกหมาก-โตพัฒนาโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนดังนี้:
1. การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (UTI): เกิดจากปัสสาวะคั่งในกระเพาะปัสสาวะ
2. นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ: เกิดจากปัสสาวะตกค้าง
3. กระเพาะปัสสาวะเสียหาย: กระเพาะปัสสาวะอาจเสียความยืดหยุ่นจากการคั่งของปัสสาวะ
4. โรคไต: หากปัสสาวะไหลย้อนกลับไปยังไต อาจเกิดการติดเชื้อหรือไตวาย
การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมาก-โต
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย:
• สอบถามอาการและประเมินคะแนนความรุนแรงของโรค
• ตรวจทางทวารหนัก (Digital Rectal Examination: DRE)
2. การตรวจเลือด:
• วัดค่า PSA (Prostate-Specific Antigen) เพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก
3. การตรวจปัสสาวะ:
• ตรวจหาเลือด โปรตีน หรือตัวชี้วัดการติดเชื้อ
4. การตรวจพิเศษ:
• การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) เพื่อวัดขนาดต่อมลูกหมาก
• การตรวจอัตราการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry)
การรักษาโรคต่อมลูกหมาก-โต
1. การปรับพฤติกรรม:
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
• ลดการดื่มน้ำช่วงเย็น
• ฝึกการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นเวลา
2. การใช้ยา:
• ยาต้านอัลฟ่า (Alpha Blockers): ช่วยให้กล้ามเนื้อในต่อมลูกหมากและท่อปัสสาวะผ่อนคลาย
• ยาลดขนาดต่อมลูกหมาก (5-Alpha Reductase Inhibitors): ช่วยลดการผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการโตของต่อมลูกหมาก
3. การรักษาด้วยการผ่าตัด:
• TURP (Transurethral Resection of the Prostate): การส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก
• เลเซอร์ (Laser Therapy): ใช้เลเซอร์ลดขนาดต่อมลูกหมาก
การป้องกันโรคต่อมลูกหมาก-โต
• รับประทานอาหารสุขภาพ: เน้นผัก ผลไม้ และไขมันดี
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
• ตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
สรุป
โรคต่อมลูกหมาก-โตเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเพศชายเมื่ออายุมากขึ้น แม้จะไม่ใช่ภาวะร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การปรับพฤติกรรม การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบจากโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ