Drug Allergy or Side Effect จะรู้ได้อย่างไรว่าเราแพ้ยาหรือเป็นผลข้างเคียงของยากันแน่
คำถามเรื่องยาที่หลายคนมักจะถามกันบ่อยอีกหนึ่งเรื่องคือ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาและอาการแพ้ยาเหมือนกันหรือไม่? เพราะหากมองแบบผิวเผินทั้ง 2 แบบมีผลจากการใช้ยาเหมือนกันแต่ผลลัพธ์นั้นจะเป็นแบบเดียวกันด้วยหรือเปล่า?
ผลข้างเคียงจากยา (Side Effect) กับอาการแพ้ยา (Drug Allergy) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้หลังจากที่เราใช้ยาเหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสนระหว่าง 2 ภาวะนี้ ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกัน สิ่งแรกที่เกิดเป็นอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่พบเห็นได้บ่อย เช่น หลังกินยาแล้วง่วงนอน มีอาการใจสั่น คลื่นไส้หรืออาเจียน มักจะเข้าใจกันว่าเป็นอาการแพ้ยา ซึ่งความจริงแล้วอาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โดยสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ อาการข้างเคียงจากยา (Side effect) และการแพ้ยา (Drug allergy) บทความนี้จะบอกถึงกลไกของและลักษณะอาการที่มักพบบ่อยจาก 2 ภาวะนี้ เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย
ผลข้างเคียงจากยา
ลักษณะอาการผลข้างเคียงจากยา และอาการแพ้ยาเป็นภาวะที่แตกต่างกันจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
• ผลข้างเคียงจากยาพบได้บ่อยกว่าอาการแพ้ยา เกิดจากกลไกการทำงานของยาที่มีต่อร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้จากยาทุกชนิด อาการมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงอาการที่รุนแรง เช่น ชนิดของยา อายุ โรคประจำตัว ปริมาณการใช้ยา หรือการใช้ยาสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอื่นร่วมด้วย
• ผลข้างเคียงจากยามักเป็นอาการที่ไม่ค่อยรุนแรง เช่น ปากแห้ง ง่วงซึม ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ หรือปัสสาวะบ่อย โดยมากอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เองหลังจากที่หยุดใช้ยา แต่ก็มีบางกรณีเช่นกันที่ยาอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะในร่างกายไปจนถึงเสี่ยงต่อการเสียชีวิต แต่พบได้น้อย
อาการแพ้ยา
อาการแพ้ยาเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารบางชนิดในตัวยาผิดปกติไป สามารถเกิดขึ้นได้จากยาและสมุนไพรทุกชนิด โดยอาจเกิดในครั้งแรกที่ใช้ยาหรือเกิดเมื่อใช้ยาชนิดเดิมซ้ำได้ด้วยเช่นกัน
ผู้ที่มีปัจจัยเสียงต่อการแพ้ยาได้สูง คือ คนในครอบครัวมีประวัติแพ้ยา ต้องใช้ยาในปริมาณมากใช้ยาซ้ำ หรือใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีประวัติเกิดอาการแพ้ชนิด อื่นอย่างแพ้อาหาร สามารถแบ่งอาการแพ้ยาได้เป็น 2 ลักษณะคือ แบบฉับพลัน และแบบไม่ฉับพลัน
อาการแพ้ยาแบบไม่ฉับพลัน มักจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับยาไปแล้วเกิน 1 ชั่วโมง และอาการมักไม่ค่อยรุนแรง เช่น มีผื่นแดงขึ้น คันตา หรือปวดตามข้อ แต่ก็มีบางกรณีเช่น กันที่เกิดอาการรุนแรงที่ควรไปพบแพทย์ทันที เช่น ผิวลอก เกิดแผลพุพอง ไข้ขึ้น อ่อนเพลีย หน้าบวม หรือเกิดแผลบริเวณเยื่อบุดวงตา ริมฝีปาก
ส่วนอาการแพ้ยาแบบฉับพลันหรือทางการแพทย์เรียกว่า Anaphylaxis อาการมักจะแสดงภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากใช้ยา ถือเป็นอาการแพ้รุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกายหลายส่วน เช่น
• หายใจไม่ออก
• หัวใจเต้นผิดจังหวะ
• คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง
• ใบหน้าและริมฝีปากบวม
• ท้องเสีย
• เกิดลมพิษ
• เวียนศีรีษะ
• ซัก
• สูญเสียการรับรู้รอบตัว หรือหมดสติ
วิธีการปฏิบัติตัวเมื่อแพ้ยา
1. หลีกเลี่ยงยาที่แพ้ และยาที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน
2. พกบัตรแพ้ยา และแสดงบัตรเสมอ เมื่อซื้อยา หรือรับบริการในโรงพยาบาล/คลินิก
3. ใช้ยาเท่าที่มีความจำเป็นโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ
4. ไม่ควรลองใช้ยาที่สงสัยว่าจะแพ้เอง หรือรับประทานยาแก้แพ้ก่อน เนื่องจากไม่สามารถป้องกันการแพ้ยาได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
5. หากมียาต้องสงสัยหลายชนิด หรือเป็นยาที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ในอนาคต เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนนิซิลิน (penicillin) ยาชา ยาที่ใช้ในการผ่าตัดดมสลบ เป็นต้น ควรพบแพทย์โรคภูมิแพ้ เพื่อวางแผนการทดสอบยาต่อไป
อาการแพ้ยาขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน หากอาการรุนแรงสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอาการแพ้ยาแบบฉับพลัน ผู้ที่เกิดอาการแพ้ยาในลักษณะข้างต้นควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที
อาการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงจากยาอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาได้เหมือนกัน ก่อนใช้ยาใด ๆ ควรอ่านฉลากยาเสมอ สอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงผลข้างเคียงจากยา และอาการอันตรายที่ควรรีบไปพบแพทย์ หากเกิดอาการผิดปกติใด ๆ ควรไปพบแพทย์ พร้อมกับนำยาที่ใช้ติดตัวไปด้วย
บทความที่น่าสนใจ
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
-
Sale Product on saleยาแคปซูลผสมพลูคาว ตราสมุนไพรคุณสัมฤทธิ์350.00 บาท – 1,280.00 บาท