osteoarthritis โรคข้อเสื่อม
โรคข้อเสื่อม (osteoarthritis) เกิดขึ้นจากกระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) สูญเสียอย่างต่อเนื่อง การเกิดโรคพบได้มากขึ้นหลังอายุ 40 ปีขึ้นไป ข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis of the knee) เป็น โรคที่พบมากที่สุดเมื่อเทียบกับโรคข้อเสื่อมอื่น ๆ ความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมนี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลักษณะอาการที่สำคัญคือ ปวดข้อ ข้อฝืด มีปุ่มกระดูกงอกบริเวณข้อ การทำงานของข้อเสียไป การเคลื่อนไหวของข้อลดลง หากกระบวนการดำเนินต่อไปจะมีผลทำให้เกิดข้อผิดรูปได้ ปัญหาที่สำคัญที่สุดในในโรคข้อเข่าเสื่อม คือ อาการปวดและความสามารถในการใช้ข้อทำงานได้ลลง
โรคข้อเข่าเสื่อมคือโรคที่เกิดจากความเสื่อมในข้อ ตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือที่กระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) โดยพบมีการทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่องมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ส่วนกระดูกในบริเวณใกล้เคียงก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เช่น ขอบของกระดูกในข้อ (subchondral bone) หนาตัวขึ้น โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดขึ้นได้กับข้อเข้าทุกส่วน โดยพบความผิดปกติที่ medial femorotibial ที่ lateral femorotibial และที่ patellofemoral patella
สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม
1. จากการใช้งาน เช่น การนั่งของๆ นั่งพับเพียบ เป็นการสร้างแรงกดให้กับข้อเข่า ยิ่งถ้านั่งงอเข่ามากๆเป็นเวลานานยิ่งทำให้ข้อเข่าสึกกร่อนเร็วขึ้น สำหรับในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเข่าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น ทำให้เพิ่มโอกาสในการทำให้เข่าเสื่อมมากขึ้นนั่นหมายความว่า ถ้าน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม เวลาวิ่งข้อเข่าต้องรับน้ำหนักตัว 150 กิโลกรัม เวลากระโคค ข้อเข่าต้องรับน้ำหนัก 350 กิโลกรัม ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักตัว จึงมีส่วนสำคัญในการป้องกันไม่ให้ข้อเข่าเสื่อมได้
2. อายุ โรคข้อเสื่อมพบได้สูงมากในวัยชรา โดยผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป พบโรคนี้ร้อยละ 50 ในช่วงอายุมากกว่า 54 ปีขึ้นไปพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย จากสาเหตุของหญิงวัยทองที่ทำให้กระดูกพรุนอย่างรวดเร็ว
3. อุบัติเหตุ ข้อเข่าอาจเสื่อมได้มือได้รับบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ
4. การขาดเลือดไปเลี้ยง กระดูกส่วนที่อยู่ใต้ผิวกระดูกอ่อนเป็นส่วนสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้กระดูกส่วนนี้เสียไปและเมื่อกระดูกที่เป็นฐานของกระดูกอ่อนทรุดตัวลง ข้อเข่าจึงไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
5. ข้ออักเสบ (Arthris) ข้ออักเสบในที่นี้หมายถึง พื้นผิวข้อค่อยๆถูกทำลาย ที่พบบ่อยมี 2 แบบคือ โรคข้ออักเสบจากการสึกกร่อน (Ostcoarthritis) หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า โรคข้อเสื่อม และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthrits) ส่วนภาวะอื่นที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก เช่น โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดยึดติด (Ankylosing spondylitis) โรคเอสแอลอี (SLE) โรคสะเก็ดเงิน นอกจากนั้นการติดเชื้อก็ทำให้เกิดข้อเสื่อมพื้นผิวขรุขระได้
6. โรคทางเมตาบอลิก ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่ โรคเกาต์ โรคเกาต์เทียม ฮีโมโครมาโตซีส โรควิลสัน และโรคข้อจากโอโครโนทีส
7. ผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ความสามารถในการพยุงข้อเข่าลดลง เสียงต่อการเป็นข้อเข้าเสื่อมง่ายกว่าผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
8. อาชีพ บางอาชีพท่าทางในการทำงานมีผลทำให้แรงผ่านข้อเข้ามากผิดปกติ เช่น การใช้สว่านขุดเจาะถนน
9. นักกีฬา เป็นกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นข้อเข่าเสื่อมเพราะต้องวิ่งและกระ โดดมากกว่าคนปกติ
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
1. อาการปวดเป็นอาการแรกที่พบ มักจะปวดภายหลังจากที่มีการใช้ข้อมากกว่าปกติหรือเวลาที่มีการเคลื่อนไหวข้อเข่า มักปวดในขณะที่
– นั่งงอเข่านานๆ แล้วลุกขึ้น จะมีอาการปวครอบเข่า ขัดยอกในข้อเข่า
– ขึ้น ลง บันได มีอาการเสียวและปวดเข่า
– เดินหรือขึ้นนานๆมีอาการปวดเข่า หรือรู้สึกเข่าอ่อนไม่มีกำลัง
– บวมและร้อนๆรอบเข่า ถ้าเป็นมากเวลาเดินหรือยืนเข่าจะ โก่งผิดรูป
2. ข้อฝืด เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังการพักข้อเป็นเวลานาน เช่น นั่งที่เดียวนานๆ อาการข้อฝืดจะเป็นระยะเวลาสั้นๆไม่กี่นาที บางรายอาจจะมีอาการข้อฝืดนานกว่า 15 นาที เมื่อมีการขยับข้อสัก 2-3 ครั้ง อาการจะดีขึ้น เวลาเคลื่อนไหวอาจจะมีสะดุดหรือติดขัดในข้อ เนื่องจากเศษกระดูกงอกหักหลุดเข้าไปขัดขวางในข้อต่อ ในรายที่มีข้อฝืดมักจะมีเสียงดังกรอบเกรบในข้อเข่า เกิดจาการเสียดสีของผิวกระดูกอ่อนข้อเข่าที่ขรุขระ
3. เข่าบวมหรือโตขึ้น เพราะมีการผน้ำในน้ำในข้อมากขึ้นกว่าปกติ พบในรายที่มีข้อเข่าอักเสบมาก มักจะปวดเข่ารนแรงร่วมด้วย คลำดูจะหนาๆหขุ่นๆและร้อน อาจจะแดงร่วมด้วย กดเเล้วเจ็บปวดมากขึ้น
4. กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง พบในรายที่เป็นโรคข้อเสื่อมมานาน การใช้งานของข้อลดล เนื่องจากมีอาการปวด ส่งผลให้ข้อเข่า เหนือข้อเข่า และกล้ามเนื้อด้านล่างข้อลืบเล็กลง ส่วนใหญ่กล้ามเนื้อทางด้านล่างหัวเข่าลีบและอ่อนกำลังลง ทำให้เหยียดเข่าไม่ได้เต็มที่ มักจะขาดอีก 15 องศา ทำให้ข้อเข่าไม่มั่นคงในท่างอ เวลาขึ้น-ลงบันได หรือเดินตามทางที่ขรุขระจะเจ็บปวดมาก เนื่องจากกระดูกเสียดสีกัน ทำให้เกิดการอักเสบได้
5. เข่าอ่อน เข่าหลวม เนื่องจากหมอนรองกระดูกสึกมาก กระดูกเข่าชิดกันมากขึ้น ทำให้เส้นเอ็นยึดข้อหย่อนลง ข้อเข่าจะค่อยๆหลวมมากขึ้น รู้สึกข้อไม่อยู่กับที่ ถ้าไม่บริหารจะส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆข้อเข่ามีการอักเสบ และอ่อนแอ ทำให้เห้เกิดอาการเข่าอ่อน (เข่าทรุด)
6. ขาโก่ง ขาเก ข้อผิดรูป เมื่อเข่าเสื่อมรุงมาก เดินไม่ถนัด เดินคล้ายขาสั้นข้างยาวข้าง บางคนเดินกะเผลก หรือโยนตัวเอนไปมา
7. องศาการเคลื่อนไหวของข้อลดลง แคบลง (เหยียดตรงไม่ได้และงอพับได้ไม่เต็มที่) เกิดขึ้นในรายที่เป็นมากแล้ว จากกระดูกงอกออกทางด้านขอบของข้อที่ยื่นออกมา
8. อาการข้อฝืด ข้อเข่าที่เหยียดไม่ได้ตรง เเต่ผู้ป่วยยังคงงอได้ตามเดิม พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเดินกะเผลก (ข้อยึดอย่างกะทันหัน) มักเกิดจากเนื้อเยื้อ เช่น หมอนรองกระดูกฉีกขาดแล้วเข้าไปขัดข้อเข่า
อาการทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคข้อเข่าสื่อม
1. อาการปวด มีลักษณะปวดดื้อๆ ทั่วๆไปบริเวณข้อ ไม่สามารถระบุตำแหน่งชัดเจนได้และมักปวดเรื้อรัง อาการปวดจะมากขึ้นเมื่อมีการใช้งาน หรือลงน้ำหนักบนข้อนั้นๆ และจะทุเลาลงเมื่อพักการใช้งาน เมื่อการดำเนินโรครุนแรงขึ้นอาจทำให้มีอาการปวดตลอดเวลาหรือปวดในช่วงเวลากลางคืนร่วมด้วย
2. ข้อฝืด (stiffiness) พบได้บ่อย มีการฝืดของข้อในช่วงเช้าและหลังการพักข้อนานๆ แต่มักไม่เกิน 30 นาที อาจพบอาการฝืดที่เกิดขึ้นชั่วคราวในท่างอหรือเหยียดข้อในช่วงแรกที่เรียกว่า ปรากฏการณ์ข้อฝืด (gelling phenomenon)
3. ข้อบวมและผิดรูป (swelling and deformity) อาจพบข้อโก่ง (bowlegs) หรือข้อเข่าฉิ่ง (knock knee) ข้อที่บวมอาจเกิดได้จากการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในข้อ หรือการโป้งนูนขึ้นของกระดูกงอกที่เกิดขึ้นรอบๆข้อ
4. การสูญเสียการเคลื่อนไหวและการทำงาน พิสัยการขยับของข้อเข่าลดลง หรือมีการติดแข็งจนทำให้ไม่สามารถเหยียดงอข้อเข่าได้เต็มที่ตามเดิม ผู้ป่วยมีอาการเดินไม่สะดวกรวมทั้งการทำงานที่ต้องการงอเข่ามากๆ เช่น การขึ้นบันได การลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นั่ง หรือ การนั่งของๆ พับเพียบ ขัดสมาธิกับพื้น จะไม่สามารถทำได้ดีเท่าเดิม
5. มีเสียงดังกรอบแกรบ (crepitus) ในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว
ปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาใดๆที่บ่งชี้ถึงปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้อย่างชัดเจนแต่พออาจกล่าวได้ว่าปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้อาจมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ ซึ่งปัจขัยดังกล่าวนี้ได้แก่ เพศหญิง ภาวะอ้วน(ดัชนีมวลกาย Body mass index มากกว่า 25) อาชีพและการทำงานที่ต้องใช้การทำงานของข้ออย่างหนัก พันธุกรรม การบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุต่อผิวข้อ และผู้ที่เป็นโรลข้ออักเสบรื้อรั้งที่ไม่ได้รับการรักษา เป็นต้น
ประเภทของโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมสามารถจำเเนกตามสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. โรคข้อเข่าเสื่อมชนิดปฐมภูมิ (primary knee osteoarthritis) เป็น โรคข้อเข่าเสื่อมที่เกิดโดยไม่มีสาเหตุอื่นนำ แต่พบว่ามีความสัมพันธ์กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ความอ้วน ลักษณะการใช้งานของข้อเข่า ข้อเข่าเสื้อมอาจเกิดข้างเดียวหรือเกิดทั้งสองข้างก็ได้
2. โรคข้อเข่าเสื่อมชนิดทุติยภูมิ (secondaryary knee osteoarthritis) เป็น โรคข้อเข่าเสื่อมที่เกิดขึ้น โดยมีโรคหรือความผิดปกติของข้อเป็นสาเหตุนำมาก่อน เช่น ความผิดปกติของกระดูกและข้อแต่กำเนิด การได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า การติดเชื้อภายในข้อ (pyogenic and tuberculous artrisis) รวมทั้งโรคข้ออักเสบชนิดต่างๆ (inflammatory joint diseaseaseaseas)
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
การรักษาที่ไม่ใช้ยา (non- pharmacological therapy)
เป็นการรักษาที่สำคัญและให้ประ โยชน์กับผู้ป่วยอย่างมากและเป็นการรักษาที่ต้องทำก่อนการใช้ยาและการผ่าตัด การรักษาที่ไม่ใช้ยาได้แก่ การให้ความรู้ การปฏิบัติตัวหรือการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต เพื่อการกำจัดสาเหตุของโรคเช่นการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การบริหารข้อ การใช้ข้ออย่างถูกต้อง การใช้เครื่องมือช่วยพยุงเดินและอาชีพบำบัด
การให้ความรู้ (patient education)ปัญหาที่สำคัญคือการขาดความรู้ที่ถูกต้องโดยเฉพาะความคิดเดิมที่ว่าโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ ทำให้เกิดความคิดในทางลบ เช่น เป็นโรคที่ไม่สามารถแก้ไขได้เพราะเป็นไปตามกระบวนการของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นความรู้ที่บุคลากรทางการแพทย์ควรแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ควรมีรายละเอียดดังนี้
1. การดำเนินโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีความคิดว่าโรค ไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ และมักค่อยๆ แย่ลงจนเกิดข้อพิการ แพทย์ผู้รักษาต้องให้ความรู้ว่าโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถดูแลรักษาให้ดีได้ และถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำได้ดี อาการปวดที่มีก็อาจไม่กลับมาอีก หรือถ้ากลับมาก็จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น
2. การปรับเปลี่ยนการดำหนินชีวิต ผู้ป่วยโรคข้อเข้าเสื่อมควรทราบว่าสาเหตุที่ทำให้ปวดเข่าเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง หรือโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง เช่น อ้วนเกินไป หิ้วของหนักมาก ดังนั้นการใช้ข้ออย่างทะนุถนอม การจัดท่าและการทำกิจกรรมที่สัมพัมพันธ์กับข้อเข่า มีดังนี้
– การนั่งที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น การนั่งของ ๆ การนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่าและการนั่งขัดสมาธิ การนั่งในท่าดังกล่าว จะทำให้เกิดแรงอัดต่อโครงสร้างของข้อเข่า ถ้าทำนาน ๆ และทำบ่อย ๆ ก็จะทำให้เสื่อมมากขึ้นและเร็วขึ้นและเกิดการอักเสบตามมา
– ถ้านั่งเตี้ยๆ อาจจะใช้เก้าอี้เตี้ยๆแทนได้บ้าง แต่ต้องไม่นานเกินไปเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อรอบเข่าหดยืดได้หากจะต้องนั่งเก้าอี้เตี้ยนาน ๆ ควรเหยียดขาออกสลับบ้าง หรือเหยียดข้างหนึ่งงออีกข้างก็ใช้ได้
– อาชีพที่ต้องยืนทั้งวัน เช่น แม่ค้า แม่ครัว ควรจะพักนั่งบ้าง ผู้ที่นั่งนาน ๆ ก็ควรสลับขึ้นเดินบ้าง เนื่องจากกิจกรรม (activates) ดังกล่าวถ้ำทำบ่อยๆ หรือนานๆ อาจส่งผลต่อเข่าที่เสื่อมอยู่แล้ว ให้เสื่อมเพิ่มมากขึ้น
– การเดินขึ้นลงบันได ทำให้มีแรงอัดต่อข้อเข่า ควรใช้บันไดให้น้อยลง ถ้าเสื่อมจนมีอาการ อาจต้องใช้วิธีเดินทีละก้าว โดยเอาขาดีขึ้นก่อนตามด้วยขาข้างที่เข่าเสื่อม เวลาจะลงก็เอาข้างที่เสื่อมลงก่อนตามด้วยขาข้างที่ดี
– การยกของหนัก จะมีแรงอัดเพิ่มขึ้นในหัวเข่า โดยทุก ๆ 1 กิโลกรัม ที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นเข่าจะต้องแบกน้ำหนักเพิ่มประมาณ 3 เท่า หิ้วของหนัก ๆ เมื่อทำเป็นประจำ ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
3. การออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อรอบข้อมีความแข็งแรง มีความกระชับ และเพื่อให้แนวแรงผ่านข้อตามที่ควรเป็น หลักการของการออกกำลังคือควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ซึ่งหมายถึง การออกกำลังกายประเภทที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างต่อเนื่องใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ ของร่างกาย มีการใช้ใช้ไขมันเป็นพลังงานใช้ออกซิเจนในการสันดาปเป็นระชะเวลานานพอติดต่อกัน และทำต่อเนื่อง เช่น เดิน วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิด รำมวยจีน เป็นต้น
4. อาหารและน้ำหนักตัวที่เพมาะสม การออกกำลังกายต้องทำควมคู่ไปกับการควบคุมอาหาร ควรหลึกเลี้ยงไขมันพืชและสัตว์ ขนมหวาน แอลกอฮอล์ ควรรับประทานนมและผลิตภัณฑ์นม 2 -3 ส่วน หมวดผัก 3 5 5 ส่วนหมวดโปรตีนเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ปลา ไข่ ถั่ว วันละ 2 -3 มื้อ ๆ ละ2 – 3 ส่วนหมวดผลไม้ 2 4 ส่วนหมวดข้าว/เป้ง 6 – 11 ปรุงอาหารด้วยการนึ่ง ต้ม ย่าง หรืออบมากกว่าการปรุงด้วยการทอด หรือผัด อาหารที่มีไขมันตำ เช่น นมพร่องมันเนย
5. การใช้ข้ออย่างทะนุฉนอม หล็กเลืองการที่ต้องทำให้ข้อต้องรับแรงผ่านข้อมากเกินไป เพื่อจะได้มีอายุการใช้งานขึ้นยาวนานตัวอย่างเช่น การนั่งเก้าอี้ที่มีที่วางแขน เวลาลุกจากเก้าอี้สามารถใช้มือจับที่วางแขนช่วยดันตัวขึ้นจากที่นั่งทำให้น้ำหนักตัวที่ต้องผ่านข้อเข่าลดลงเวชศาสตร์ฟื้นฟู
การรักษาหลายอย่างทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่สามารถใช้เพื่อช่วยลดอาการปวดลดความฝืดแข็งของข้อ ลดกล้ามเนื้อเกร็งตัว และขณะเดียวกัน ทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อแข็งแรงเพื่อช่วยพยุงข้อ การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความสำเร็จในการรักษาโรคข้อเสื่อม ประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆดังนี้
1. การนวด ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง ลดอาการปวด ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ ทำให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น รายที่มีการอักเสบหรือปวดมากหน่อย อาจให้ใช้ยานวดร่วมไปด้วย ยานวดแต่ละชนิดมีฤทธิ์ไม่ต่างกันมาก ดังนั้นจะใช้ยานวดอะไรก็ได้ ถ้าจะทำการนวดเองควรนั่งอยู่ในท่าสบาย นวดครั้งละ 10 – 30 นาที หลังนวดอาจประคบด้วยผ้าร้อน โดยใส่ยานวดคลึงก่อนใช้ผ้าร้อน เพราะการนวดและการใช้ผ้าร้อนทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นทำให้
2. การใช้ความร้อน – ความเย็น (thermal modalities) การใช้ความร้อนมีได้สองแบบคือ ความร้อนตื้น และความร้อนลึก ความร้อนตื่น เช่น กระเป้าน้ำร้อน พาราฟินถังน้ำวน ความร้อนลึก เช่น การใช้อัลตร้าชาวน์มักใช้กับข้อที่ใหญ่และอยู่ลึก เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าประโยชน์ของการรักษาด้วยความร้อน เช่น ลดข้อฝืด ลดอาการปวด ลดกล้ามเนื้อเกร็ง ป้องกันการหดสั้นของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ความร้อนที่ใช้อยู่ในช่วง 40-45 องศาเซลเซียส ระยะเวลา 5 – 30 นาที ความเย็นที่ใช้ ได้แก่ ผ้าเย็น น้ำแข็งประคบ สเปรย์พ่น เพื่อลดกล้ามเนื้อเกร็ง ลดอาการบวมในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บและลดอาการปวดจากการอักเสบ
3. กายอุปกรณ์ที่ช่วยพสูงข้อ (supports devices) เช่น การใช้ที่รัลเจ้า มีจุดประสงค์เพื่อช่วยทุเลาอาการปวด ให้ความรู้สึกกระชับบริเวณหัวเข่า และเข่าทำงานดีขึ้น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจะน้อยลง อีกทั้งเป็นการเตือนให้ระมัดระวังการใช้เข่า สำหรับ Walker หรือไม้เท้า ใช้เพื่อช่วยทุเลาการทำงานของหัวเข่า
ทำความรู้จักกับสมุนไพรน่ารู้
ชื่ออื่น เครือเขาหนัง เถาตาปลา พานไสน เครือตับปลา ย่านเหมาะ
สรรพคุณ ตำรายาไทย เถา รสเฝื่อนเอียน ต้มรับประทานถ่ายเส้น บรรเทาอาการปวดเมื่อย แก้ไข้ ถ่ายเสมหะ ถ่ายเส้นทำให้เส้นอ่อนและหย่อนดี ไม่ทำให้ถ่ายท้อง เถาตากแห้งคั่วไฟให้หอม ชงกินแทนน้ำชา ใช้ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้เหน็บชา แก้กระษัย แก้บิด แก้เส้นเอ็นขอด แก้เส้นเอ็นพิการ แก้เมื่อยขบตามร่างกาย ราก รสเฝื่อนเมา ใช้เบื่อปลา ฆ่าแมลงใช้ขับปัสสาวะ ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ
บัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้เถาวัลย์เปรียงในตำรับ “ยาผสมเถาวัลย์เปรียง” มีส่วนประกอบของเถาวัลย์เปรียงร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
องค์ประกอบทางเคมี สารกลุ่ม isoflavone glycoside เช่น eturunagarone, erysenegalensein E, derrisisoflavone A-F, scandinone เป็นต้น และพบสารกลุ่มคูมาริน ได้แก่ 3-aryl-4-hydroxycoumarins สารกลุ่มสเตียรอยด์ได้แก่ lupeol, taraxerol, b-sitosterol สารอื่นๆ เช่น 4-hydroxy-3-methoxy benzoic acid, 4-hydroxy-3,5-dimethoxy benzoic acid
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา การศึกษาพบฤทธิ์ต้านการอักเสบ, ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ COX-1, ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และมีการศึกษาทางคลินิก พบว่ามีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดหลังส่วนหลัง, ฤทธิ์ลดอาการข้อเข่าอักเสบ, ฤทธิ์แก้ปวด, ฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน
ข้อห้าม/ข้อควรระวัง
– ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
– ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยแผลเพปติก เนื่องจากเถาวัลย์เปรียงออกฤทธิ์คล้ายยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ จึงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหารได้
– อาการไม่พึงประสงค์
– ปวดท้อง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง ใจสั่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อุจจาระเหลว