12 Carcinogens Commonly 12 สารก่อมะเร็งที่พบได้ในชีวิตประจำวัน

12 Carcinogens Commonly – 12 สารก่อมะเร็งที่พบได้ในชีวิตประจำวัน

12 Carcinogens Commonly 12 สารก่อมะเร็งที่พบได้ในชีวิตประจำวัน

12 สารก่อมะเร็งที่เราสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน และอาจได้รับสารเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว โดยองค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer; IARC) ได้จัดสารเหล่านี้เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งกลุ่ม 1 คือ เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ ได้แก่

1. บุหรี่ ในบุหรี่ประกอบด้วยใบยาสูบและกระดาษมวนยา เมื่อเกิดการเผาไหม้จะมีสารเคมีเกิดขึ้นกว่า 7,000 ชนิด และเป็นอันตราย 70 ชนิด บุหรี่ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคมะเร็ง เมื่อสูบบุหรี่ร่างกายจะได้รับสารพิษต่าง ๆ มากมายและสามารถดูดซึมผ่านเข้าไปยังกระแสเลือด ซึ่งสารเหล่านี้จะเข้าไปทำลายดีเอ็นเอ (DNA) ในเซลล์ เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติและนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่าง ๆ ในที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้สูบบุหรี่โดยตรง แต่การได้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกายก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเด็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้

2. ควันบุหรี่มือสอง ควันบุหรี่ประกอบไปด้วยสารอันตรายมากถึง 70 ชนิด แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้สูบบุหรี่โดยตรง แต่การได้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกายก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเด็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้

3. การดื่มสุรา ในปัจจุบันพฤติกรรมการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเสียชีวิต จากสถิติขององค์การอนามัยโลกรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกด้วยโรคและการบาดเจ็บจากการดื่มสุรา ประมาณ 3 ล้านคนต่อปี อีกทั้งการดื่มสุรายังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จากข้อมูลรายงานว่าการดื่มสุราเป็นเหตุให้เกิดโรคในร่างกายมากกว่า 200 โรค รวมถึงความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ที่มีพฤติกรรมดื่มสุราเป็นประจำร่วมกับการสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้

4. การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในระยะแรก ๆ ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ เมื่อมีพยาธิสะสมในร่างกายมาก ๆ เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง เจ็บบริเวณชายโครงขวา และถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะมีอาการอักเสบของท่อน้ำดี ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต มีไข้ ซึ่งในผู้ป่วยบางรายอาจนำไปสู่การเกิด มะเร็งท่อน้ำดีในตับและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

5. การติดไวรัสตับอีกเสบ ในประเทศไทยคาดว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี (HBV) และชนิดซี (HCV) รวมประมาณ 3 ล้านคน

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) บางรายอาจมีอาการของภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เจ็บใต้ชายโครงขวา มีไข้ต่ำ ตาเหลือง ตัวเหลือง หรืออาจเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังและมีพังผืดเกิดขึ้นจนนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับในเวลาต่อมา ซึ่งการติดเชื้อร่วมกับการดื่มสุราจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C virus) ส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อมักมีภาวะตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่แสดงอาการ บางรายอาจเกิดภาวะตับแข็ง และนำไปสู่การเกิดมะเร็งตับในระยะเวลาต่อมา โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ซึ่งการติดเชื้อร่วมกับการดื่มสุราหรือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะเพิ่มการเกิดภาวะตับแข็งเร็วขึ้น

การติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อได้ผ่านทางเลือดหรือสารคัดหลั่ง โดยผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ได้แก่ ผู้ที่ใช้ของมีคมร่วมกัน, การเจาะ สัก, การใช้ยาเสพติดชนิดฉีด, การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และบุคลากรทางการแพทย์

6. การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus) เชื้อเอชพีวี (HPV) เป็นสาเหตุหลักสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก สามารถติดเชื้อผ่านจากการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยผู้ชายสามารถติดเชื้อเอชพีวีจากคู่นอนได้ และสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนคนอื่น ๆ ต่อไปได้อีกเช่นกัน

ปัจจุบันพบเชื้อเอชพีวีอยู่มากกว่า 200 สายพันธุ์ และมี 14 สายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกถึง 70 เปอร์เซนต์

7. เนื้อสัตว์แปรรูป คือ เนื้อที่เปลี่ยนรูปไปโดยผ่านการคลุกเกลือ หมัก บ่ม รมควัน และวิธีอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น แฮม ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ โดยในเนื้อสัตว์แปรรูปเหล่านี้จะพบสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้ สามารถรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปได้ แต่ให้จำกัดปริมาณการทา

8. สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxins) สารอะฟลาทอกซินถูกสร้างจากเชื้อราในตระกูล Aspergillus มักพบในผลผลิตทางการเกษตรซึ่งเก็บไว้ในที่ที่มีความชื้นและอุณหภูมิสูง เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง พริกไทย พริกป่น กระเทียม หอมแดง และเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เป็นต้น

สารอะฟลาทอกซิน สามารถทนความร้อนได้ดี ไม่สามารถทำลายได้จากความร้อนในการหุงต้มอาหารทั่วไป อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับเมื่อได้รับสารพิษเป็นเวลานาน ความรุนแรงที่ส่งผลต่อสุขภาพของร่างกายขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษที่ได้รับเข้าไป อายุ ความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายในแต่ละบุคคล

9. สารประกอบเบนโซ (เอ) ไพรีน (benzo [a] pyrene) และสารประกอบอื่น ๆ ในกลุ่ม PAHs มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ผ่านการให้ความร้อนสูง ได้แก่ การปิ้ง ย่าง และเผา รวมทั้งอาหารที่ผ่านการรมควัน เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน ก็พบสารก่อมะเร็งชนิดนี้ได้เช่นกัน

สารเบนโซ (เอ) ไพรีน เป็นสารก่อมะเร็งที่จัดอยู่ในกลุ่มของโพลีซัยคลิก อโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbon, PAH) ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของสารอินทรีย์

10. มลพิษทางอากาศภายนอกอาคาร เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาในที่โล่ง กระบวนการทางอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง เป็นต้น ปัจจุบันมลพิษทางอากาศถือเป็น สาเหตุสำคัญของปัญหาสุขภาพของประชาชนสารมลพิษต่าง ๆ หรือฝุ่นละอองจะพาอนุภาคของสารพิษ หรือสารก่อมะเร็งต่างๆ เข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจได้ เช่น ฝุ่นละอองรวม (ฝุ่นขนำดไม่เกิน 10 ไมครอน, PM 10 และ ฝุ่นขนำดไม่เกิน 2.5 ไมครอน, PM 2.5), สารตะกั่ว, ก๊าซโอโซน, ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์, ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งมลพิษทางอากาศเหล่านี้ ถือเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์

11. ฝุ่นไม้ การรับสัมผัสฝุ่นไม้มักเกิดอันตรายในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับฝุ่นไม้ ได้แก่ ช่างไม้ แกะสลัก ผู้ประกอบอาชีพในโรงงานอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ฝุ่นไม้เป็นสาเหตุทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ

ฝุ่นไม้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการหายใจ หรือทางปากอาจเกิดการสะสมเข้าไปในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ในโพรงจมูก ปอด และกระเพาะอาหาร ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับไม้ควรหาวิธีการป้องกันตนเองให้เหมาะสมในขณะปฏิบัติงาน

12. รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสียูวี มีแหล่งกำเนิดมาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ และแหล่งที่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ แสงสังเคราะห์ที่นิยมใช้ในเตียงอบผิว ตู้อบฆ่าเชื้อโรค ซึ่งการได้รับรังสียูวีในปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ดวงตา ผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะผิวหนังส่งผลให้ผิวคล้ำแดด ผิวไหม้จากแสงแดด เกิดริ้วรอย และอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

โดยรังสียูวีจะเข้าไปทำลายดีเอ็นเอ (DNA) ของเซลล์ผิวหนัง อาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์มีการกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติ จนอาจทำให้ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในที่สุด

บทความที่น่าสนใจ

มะเร็งปากมดลูก

Shopping Cart

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top